บลจ.โหมโรงบอนด์กิมจิสู้ "พันธบัตรไทยเข้มแข็ง" บลจ.บัวหลวง ส่ง 3 กองทุน เสนอทางเลือก ล็อกเงินสั้นๆ ตั้ง 6 เดือน 12 เดือน และ 24 เดือน ยืนยันพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งไม่กระทบ ไอพีโอถึง 20 ก.ค.นี้ ด้าน บลจ.นครหลวงร่วมแจม คลอดกองทุนอายุ 6 และ 12 เดือนให้เลือก คาดผลตอบแทน 2.5% ต่อปี และ 2.9% ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ เอาด้วย ส่งกองอายุ 6 เดือนแชร์ส่วนแบ่ง
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมากในขณะนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเปิดขายกองทุนของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากว่ากลุ่มนักลงทุนนั้นเป็นคนละกลุ่มกัน นอกจากนี้ ความชอบในการลงทุนของนักลงทุนก็มีความแตกต่างกันด้วย
ล่าสุด บริษัทเปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส เพิ่มขึ้นอีก 3 กองทุน ประกอบด้วย 1. กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 21/09 (BP21/09) 2. กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 2209 (BP22/09) และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 23/09 (BP23/09) ซึ่งเริ่มเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 กรกฎาคม 2552 นี้ โดย 3 กองทุนดังกล่าว จะลงทุนในตราสารหนี้ ที่เน้นพันธบัตรของประเทศเกาหลีใต้
ทั้งนี้ กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 21/09 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุประมาณ 6 เดือน ส่วนกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 22/09 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุประมาณ 12 เดือน และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 23/09 มีอายุประมาณ 24 เดือน ขนาดโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวเหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
โดยทั้ง 3 กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เกาหลีใต้มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (Foreign Investment Fund) โดยเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินต่างประเทศซึ่งผู้ออกหรือตราสารได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ A- ขึ้นไป ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้รวมถึงการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives contract) เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในอัตรา
นายวศิน กล่าวว่า จากการที่บริษัทเปิดขายกองทุนดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันยังคงได้รับการตอบเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีนักลงทุนรายใหม่ๆ เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก เพราะปัจจุบันกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากธนาคาร
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่ากองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 19/09 (BP19/09) และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 20/09 (BP20/09) ที่ได้เปิดขายไปก่อนหน้านี้ ก็สามารถปิดยอดจองซื้อหน่วยลงทุนจากผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก เป็นผลทำให้ขนาดกองทุนที่ออกเสนอขายเต็มจำนวนแล้ว
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้อีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 12M14/09 (SCIINGI12M14/09) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุประมาณ 12 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.90% ต่อปี และกองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M10/09 (SCI INGI6M10/09) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.50% ต่อปี โดยได้เปิดขายขาย พร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 15 - 21 กรกฎาคม 2552 นี้ และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท
สำหรับกองทุน SCIINGI12M14/09 จะเน้นลงทุนในพันธบัตรเกาหลี รุ่น Korea Monetary Stabilization Bond และ Korea Treasury Bond ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร F-1 จากสถาบัน Fitch Rating และบริษัทจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส รวมจำนวน ไม่เกิน 4 ครั้ง โดย (ครั้งสุดท้าย) ผู้ลงทุนมีโอกาสจะได้รับเงินค่าขายคืนอัตโนมัติพร้อมกับเงินต้นตามมูลค่าที่ตราไว้
ส่วนกองทุน SCI INGI6M10/09 จะเน้นลงทุนในพันธบัตรเกาหลี รุ่น Korea Monetary Stabilization Bond และ Korea Treasury Bond ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร AA จากสถาบัน Fitch Rating และจะได้รับผลตอบแทนพร้อมเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุกองทุนประมาณการสัดส่วนการลงทุนของทั้ง 2 กองทุน ลงทุนในสัดส่วนประมาณ 100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดายังไม่ต้องรับภาระเรื่องภาษีจากผลตอบแทน
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดอัตราผลตอบแทนในประเทศเกาหลีใต้ในปัจจุบัน มีการปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาประมาณ 0.30-0.40% เนื่องจากมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนในพันธบัตร และตราสารธนาคารแห่งชาติเกาหลีใต้มากขึ้น ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่มีนักลงทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรปก็เข้าไปลงทุนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กองทุนเปิด SCIINGI12M14/09 และ SCI INGI6M10/09 ก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่คาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาลในประเทศซึ่งมีอายุตราสารใกล้เคียงกัน เพื่อครอบคลุมทั้งการลงทุนระยะสั้น ซึ่งไม่เกิน 1 ปี และระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
ด้านรายงานจาก บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทเปิดขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ฟอร์เรน โนท 6M20 (SCBFRN6M20) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.50%ต่อปี โดยได้เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก และครั้งเดียวตั้งแต่วันนี้ – 21 กรกฎาคม 2552 และมีเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมากในขณะนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเปิดขายกองทุนของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากว่ากลุ่มนักลงทุนนั้นเป็นคนละกลุ่มกัน นอกจากนี้ ความชอบในการลงทุนของนักลงทุนก็มีความแตกต่างกันด้วย
ล่าสุด บริษัทเปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส เพิ่มขึ้นอีก 3 กองทุน ประกอบด้วย 1. กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 21/09 (BP21/09) 2. กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 2209 (BP22/09) และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 23/09 (BP23/09) ซึ่งเริ่มเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 กรกฎาคม 2552 นี้ โดย 3 กองทุนดังกล่าว จะลงทุนในตราสารหนี้ ที่เน้นพันธบัตรของประเทศเกาหลีใต้
ทั้งนี้ กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 21/09 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุประมาณ 6 เดือน ส่วนกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 22/09 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุประมาณ 12 เดือน และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 23/09 มีอายุประมาณ 24 เดือน ขนาดโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวเหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
โดยทั้ง 3 กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เกาหลีใต้มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (Foreign Investment Fund) โดยเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินต่างประเทศซึ่งผู้ออกหรือตราสารได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ A- ขึ้นไป ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้รวมถึงการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives contract) เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในอัตรา
นายวศิน กล่าวว่า จากการที่บริษัทเปิดขายกองทุนดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันยังคงได้รับการตอบเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีนักลงทุนรายใหม่ๆ เข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก เพราะปัจจุบันกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากธนาคาร
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่ากองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 19/09 (BP19/09) และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 20/09 (BP20/09) ที่ได้เปิดขายไปก่อนหน้านี้ ก็สามารถปิดยอดจองซื้อหน่วยลงทุนจากผู้ลงทุนเป็นจำนวนมาก เป็นผลทำให้ขนาดกองทุนที่ออกเสนอขายเต็มจำนวนแล้ว
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้อีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 12M14/09 (SCIINGI12M14/09) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุประมาณ 12 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.90% ต่อปี และกองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M10/09 (SCI INGI6M10/09) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.50% ต่อปี โดยได้เปิดขายขาย พร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 15 - 21 กรกฎาคม 2552 นี้ และมีมูลค่าเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท
สำหรับกองทุน SCIINGI12M14/09 จะเน้นลงทุนในพันธบัตรเกาหลี รุ่น Korea Monetary Stabilization Bond และ Korea Treasury Bond ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร F-1 จากสถาบัน Fitch Rating และบริษัทจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส รวมจำนวน ไม่เกิน 4 ครั้ง โดย (ครั้งสุดท้าย) ผู้ลงทุนมีโอกาสจะได้รับเงินค่าขายคืนอัตโนมัติพร้อมกับเงินต้นตามมูลค่าที่ตราไว้
ส่วนกองทุน SCI INGI6M10/09 จะเน้นลงทุนในพันธบัตรเกาหลี รุ่น Korea Monetary Stabilization Bond และ Korea Treasury Bond ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร AA จากสถาบัน Fitch Rating และจะได้รับผลตอบแทนพร้อมเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุกองทุนประมาณการสัดส่วนการลงทุนของทั้ง 2 กองทุน ลงทุนในสัดส่วนประมาณ 100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดายังไม่ต้องรับภาระเรื่องภาษีจากผลตอบแทน
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดอัตราผลตอบแทนในประเทศเกาหลีใต้ในปัจจุบัน มีการปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาประมาณ 0.30-0.40% เนื่องจากมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนในพันธบัตร และตราสารธนาคารแห่งชาติเกาหลีใต้มากขึ้น ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่มีนักลงทุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรปก็เข้าไปลงทุนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม กองทุนเปิด SCIINGI12M14/09 และ SCI INGI6M10/09 ก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่คาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาลในประเทศซึ่งมีอายุตราสารใกล้เคียงกัน เพื่อครอบคลุมทั้งการลงทุนระยะสั้น ซึ่งไม่เกิน 1 ปี และระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
ด้านรายงานจาก บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทเปิดขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ฟอร์เรน โนท 6M20 (SCBFRN6M20) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.50%ต่อปี โดยได้เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก และครั้งเดียวตั้งแต่วันนี้ – 21 กรกฎาคม 2552 และมีเม็ดเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท