xs
xsm
sm
md
lg

ความผันผวนกับความไม่แน่นอน กับการลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมและทีมงานบริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการตอบรับเข้าร่วมงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “Technical Talk” ตอน “กลยุทธ์ทางเทคนิคพิชิตการลงทุนในไตรมาส 3” ณ ห้อง 701 ชั้น 7 อาคารสาทรธานี 1 โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมสัมมนามากกว่า 100 คน จนต้องเสริมเก้าอี้เพิ่มจำนวนหนึ่ง และต้องขอขอบคุณทางนิตยสาร Stock Review ที่ได้นำหนังสือดีๆ ที่มีความรู้ มาแจกให้กับนักลงทุนที่เข้าร่วมงานได้เพิ่มพูนความรู้ด้านการลงทุนให้มากขึ้น

สินค้ายอดฮิตที่นักลงทุนสนใจกันมาก และมีคำถามค่อนข้างเยอะ คือ การลงทุนในทองคำ ซึ่งรวมทั้ง “ทองคำแท่ง” และ “Gold Futures” ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะถามว่า ราคาทองคำในตลาดโลก มีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกไหม ถ้าเทียบเป็นราคาทองคำในบ้านเราแล้วละก็ จะมีโอกาสหลุด 14,000 บาท หรือไม่ ถ้าจะให้ตอบกันตรงไปตรงมา ก็คงต้องวิเคราะห์ดูแนวโน้มการเคลื่อนไหวจากกราฟกันดูครับ
รูปที่ 1 การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก ราคา ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2552 ก่อนปิดตลาด
สำหรับราคาทองคำในตลาดโลกนั้น หากพิจารณาจากกราฟ จะเห็นว่า การเคลื่อนไหวของราครทองคำ กำลังอยู่ในช่วง Sideway (ซึ่งในทางปฏิบัติ มักไม่นิยมซื้อ-ขาย กันสักเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นการยากที่จะประเมินทิศทางการเคลื่อนไหว ว่าจะลงหรือจะขึ้น ในอนาคต)

ผมขออนุญาตแบ่งแนวทางการลงทุนในทองคำ ออกเป็น 2 แนวทางคือ ผู้ที่ลงทุนในทองคำแท่ง และผู้ที่สนใจเก็งกำไรใน Gold Futures โดยผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำแท่ง ควรรอให้ราคาทองคำภายในประเทศ ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 14,500 บาทก่อน จากนั้นจึงทยอยเข้าซื้อ เพื่อรอการเก็งกำไรในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า (2553) อันเนื่องมาจากทิศทางของราคาทองคำนั้น มีโอกาสปรับตัวลดลงค่อนข้างเห็นได้ชัด เพียงแต่ต้องรอเวลาเท่านั้นเอง ส่วนนักลงทุน ที่ต้องการเก็งกำไรใน Gold Futures ควรรอให้ราคาทองคำในตลาดโลก ปรับตัวลดลงกว่า 880USD ถึงจะเข้าทำสัญญา Short ได้ ในทางกลับกัน สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อล่วงหน้า หรือ Long นั้น สามารถเข้าทำสัญญาได้หากราคาทองคำปรับขึ้นไปทะลุ 1,000 USD ได้สำเร็จ ไม่เช่นนั้น คุณอาจต้องเผชิญกับปัญหาความวิตกกังวล เกี่ยวกับการปรับตัว ขึ้น-ลง รายวัน ของทองคำก็เป็นได้

ในเชิงเทคนิคนั้น หลายคนคงไม่แปลกใจมากนัก ที่ราคาหุ้นบ้านเราในวันนี้ (วันที่ 14 กรกฎาคม 2552) ถึงได้ปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น จริงๆ แล้ว กลไกดังกล่าว เกิดมาจากการเหวี่ยงตัวของราคาตามดัชนีต่างประเทศ ที่ปรับตัวขึ้นมาปิดช่องว่าง (Gap) เมื่อวานนั่นเอง (HIS) หรือถ้าในส่วนของดัชนีดาวน์โจน คือ การแกว่งตัวของราคาตามรูปแบบที่เรียกว่า Double Bottom นั่นเอง
รูปที่ 2 การเคลื่อนไหวของดัชนีดาวน์โจน ในกราฟรายชั่วโมง ที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเป็นขาขึ้น สอดคล้องกับทฤษฏี Chart Pattern ในรูปแบบ Double Bottom ที่ส่งผลทำให้ดัชนีในภูมิภาคปรับตัวขึ้นตามในระยะสั้นๆ
โดยส่วนตัวหากผมใช้หุ้นที่มีน้ำหนักสูง เช่น หุ้น ปตท. เป็นตัวแทนวัดการเคลื่อนไหวของตลาดนั้น นักลงทุนอาจได้เห็นหุ้นดังกล่าวมีราคาปรับตัวลงไปในระดับ 200 บาท หรือต่ำกว่า ได้ในเวลาไม่นาน อันเนื่องมาจากรูปแบบ Topping ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ราคาหุ้นดังกล่าว ได้ปรับตัวขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงสุดแล้ว จึงเป็นการยาก ที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง และจากการที่หุ้นดังกล่าว เป็นตัวชี้นำตลาดได้เป็นอย่างดี ผมจึงมั่นใจว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกครั้ง จึงขอให้นักลงทุนทุกคนจับตาดูให้ดี หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าดูได้ที่เว็บไซต์ www.technicalday.com
กำลังโหลดความคิดเห็น