xs
xsm
sm
md
lg

รู้จักพอ รู้จักใช้ รู้จักบุญคุณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในระยะเวลา 7 วันที่ผ่านมา ราคาทองคำในเมืองไทยกับตลาดต่างประเทศไม่ค่อยคึกคักเท่าใดนัก โดยเมื่อวันอังคารที่ 23 มิถุนายน พบว่าราคาทองคำใน บ้านเราราคาบาทละ 14,850/14,950 นับได้ว่าเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบระยะเวลาประมาณเดือนกว่าๆที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2552 ราคาทองคำก็มีราคาเท่ากันแต่มาวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ราคาทองคำคงอยู่ที่บาทละ 15,150/15,250 ขณะที่ตอนช่วงเช้าราคา 15,100/15,200 โดยมีผลต่างของราคาทองคำที่ขึ้นมาประมาณบาทละ 300 บาท ส่วนราคาในตลาดต่างประเทศ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2552 พบว่าต่ำสุดอยู่ที่ 921.45 เหรียญต่อ 1 ออนซ์ และสูงสุดอยู่ที่ 949.30 เหรียญต่อออนซ์ ในวันที่ 27 มิถุนายน แต่ราคาทองในประเทศเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะว่าอัตราแลกเปลี่ยนกับแข็งค่าขึ้นกว่าเดิมมาอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 30 มิถุนายน ประมาณ 34.06 บาท ต่อ1เหรียญสหรัฐ ซึ่งแข็งค่ากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนในตลาดของ Gold Futures ในรอบ 7 วันที่ผ่านมา พบว่ามีการซื้อขายสูงสุดประมาณ 1,200 สัญญา ในวันที่ 23 มิถุนายน เพราะว่าราคาทองในวันนั้น ถูกที่สุด ขณะที่วันต่อๆมาอยู่ที่ประมาณ 500-800 สัญญาต่อวัน ซึ่งในภาพรวมทั่วไปแล้ว ยังไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควรเท่าใดนัก
 สาเหตุหลักใหญ่นั้น เกิดจากผู้ที่มาลงทุนในGold Futures มาจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่วนมากนั้นจะมีการลงทุนในตลาดหุ้น และตลาดอนุพันธ์อยู่ ก่อนแล้ว ก็จะมีการมาลงทุนในGold Futures แต่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ตลาดมีการนำ Stock Futures เข้ามาเพิ่มในตลาดอีกตัว จึงทำให้มีการกระจายการลงทุนใน สินค้าอื่นๆ โดยผู้ลงทุนในตลาดเกือบทุกคนจะไม่ยึดถือเลยว่าจะต้องลงทุนในสินค้าตัวใดตัวหนึ่งตลอดเวลา แต่จะลงทุนในสินค้าที่คิดว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ เมื่อลงทุนแล้วจะได้กำไรขึ้นมามากกว่า ซึ่งผู้ที่จะมาลงทุนในตลาด Gold Futures ควรจะต้องศึกษาให้ดีมากขึ้นอย่าไปเชื่อถือถึงบริษัทต่างๆที่มาโฆษณาว่าบริษัทของตนเองมีคนมาทำสัญญากี่สัญญา เพราะว่าในตัวเลขของสัญญาที่เกิดขึ้นก็มีบางส่วนเกิดจากการซื้อขายกันเองภายในโดยต้องการตัวเลขสัญญาที่เกิดขึ้น เพื่อมาอ้างอิงกับลูกค้าที่จะมา เปิดสัญญา 
อย่างไรก็ตามข้อมูลและข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นมาเกี่ยวโยงกับราคาทองคำทั้งนั้น มิได้เกิดขึ้นมาจากภายในประเทศเลย แต่เกิดขึ้นจากการคาดการณ์ของตลาดในต่างประเทศ ซึ่งคาดคะเนและดูตามสถิติในอดีตที่ผ่านมาว่าความเป็นไปได้จะเป็นอย่างไร และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในด้านการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองควบคู่กันไปด้วย ขณะที่กูรูทั้งหลายในเมืองไทยเป็นแค่ผู้แปลการคาดคะเนของข่าวสารที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ และออกมาบอกกล่าวอีกทีหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้การลงทุนทุกอย่างก็มีความเสี่ยงอยู่ในตัว โดยความรู้ และการศึกษาก็เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้มีการเรียนรู้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันนี้ เถ้าแก่ทุกคนที่เกิด ขึ้นมาได้และมีฐานะที่ดีขึ้น ก็มาจากรากฐานของพวกเถ้าแก่ที่จบแค่ชั้นป.4 ซึ่งเป็นคนที่สร้างฐานะและรากฐานในเถ้าแก่รุนใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ก็มีบางส่วนที่สร้างฐานะมาจากความสามารถและอุสาหะของตนเอง เถ้าแก่ที่จบชั้นป. 4 นั้นมีความอุสาหะและคอยสั่งสอนให้ลูกหลานได้ดิบได้ดีมีจำนวนมากที่จบ หมอ วิศวะ สถาปนิก และทำแขนงวิชาชีพ ต่างๆจนมีฐานะดีมีหน้ามีตาในสังคม

ดังนั้น คนเราจะมาเป็นเศรษฐีนั้นก็อยู่ที่ความสามารถความอุสาหะ ความเก็บออม การรู้จักใช้ก็ย่อมที่จะเป็นไปได้ แต่อย่าเป็นเศรษฐีอนาถา 5 ประการ (ขออ้างอิงข้อเขียนของคุณ อัจฉรา โยมสินธุ์) นั้นคือ 1 เศรษฐีขี้โกง ร่ำรวยจากการคดโกง ประกอบอาชีพไม่สุจริต 2. เศรษฐีไร้ฝีมือ ร่ำรวยจากมรดก 3. เศรษฐีโง่ คนรวยที่ไม่ รู้จักพอ และ 5. เศรษฐีเห็นแก่ตัว ไม่แบ่งปันให้สังคมไม่แบ่งปันให้ผู้ด้อยโอกาส
ทั้งหมดที่กล่าวมาพอจะสรุปให้ถึงคำว่า "รู้จักพอ รู้จักใช้ รู้จักบุญคุณ"
กำลังโหลดความคิดเห็น