ASTVผู้จัดการายวัน- โบรกกองทุนรวม เเนะทยอยลงทุนกองทุนน้ำมัน-ทองคำ ระบุให้ผลตอบเเทนดีในระยะยาว ชี้เงินเฟ้อเเตะจุดต่ำสุดในปีเเล้ว พร้อมเเนะนำให้พักเงินในกองทุนตลาดเงิน เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นและน้ำมันอีกครั้ง
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนนี้ เราแนะนำให้ทยอยทำกำไรในหุ้นและน้ำมัน ถึงแม้ว่าราคาเป้าหมายของหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียและราคาน้ำมันในปรับขึ้นสำหรับปีนี้ แต่มองโอกาสที่จะมีการปรับฐานเป็นไปได้สูงมาก จึงแนะนำให้พักเงินในกองทุนตลาดเงินเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นและน้ำมันอีกครั้ง
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำนั้นมีการปรับราคาขึ้นน้อยกว่าหุ้นและน้ำมันในช่วง 3-6 เดือน ที่ผ่านมา และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะแตะระดับต่ำสุดในปีนี้ จะทำให้การลงทุนในทองคำน่าสนใจในระยะยาวอีกด้วย
ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ระยะนี้ ยังคงมีโอกาสผันผวนจากการออกพันธบัตรของรัฐบาลในช่วงเดือน ก.ค. - ก.ย. 2552 สำหรับการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณนี้ โดยการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารระยะสั้นและเงินฝาก อีกทั้งยังมองว่ากองทุนประเภท locked-in fund ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ยังมีผลตอบแทนที่น่าสนใจและสูงกว่าผลตอบแทนสุทธิของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศ
นางสาวศุภมาส ยังได้เเเนะนำการลงทุนในช่วงนี้อีกว่า สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้นจากเดิมมีเพียงแค่หุ้น เราได้เพิ่มสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทน้ำมันและทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความผันผวนของผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น ซึ่งในช่วงนี้กองทุนรวมประเภทน้ำมันและทองคำออกมาจำนวนมาก จะเป็นที่นิยมสำหรับการลงทุนและเก็งกำไรเหมือนกับหุ้น
ทั้งนี้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีกว่าคาดก่อนหน้านี้ โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้แนะนำการลงทุนในหุ้นต่ำมาก เนื่องจากมองยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และปัญหาสถาบันการเงินในประเทศพัฒนา แต่มองว่าการพุ่งขึ้นอย่างมากของราคาสินทรัพย์เสี่ยงดังกล่าวในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น่าจะมีการทยอยทำกำไรและสามารถเปลี่ยนไปลงทุนในทองคำได้ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีกว่าคาดก่อนหน้านี้ ซึ่งเราได้ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับนัดลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยคือให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 50% ตราสารหนี้ 35% และ เงินสด / ตลาดเงิน15% จากเดิมในช่วง 2 เดือนก่อนเเนะนำให้ลงทุนในหุ้นเพียง 0%-5% ตราสารหนี้ 45%เเละตลาดเงิน 50%-55%
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลาง แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 65% ตราสารหนี้ 25%และเงินสด-ตลาดเงิน 10% จากเดินในช่วง 2 เดือนก่อนหน้าเเนะนำให้ลงทุนในหุ้น 0%-10% ตราสารหนี้ 35%เเละเงินสด-ตลาดเงิน35%-45% ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับสูง แนะนำลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 80%ตราสารหนี้ 15% และเงินสด-ตลาดเงิน 5% จากเดิมในช่วง 2 เดือนก่อนเเนะนำให้ลงทุนในหุ้น 0%-20% ตราสารหนี้ 25%เเละเงินสด-ตลาดเงิน 25%-35%
"คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้นและน้ำมัน ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านส่วนการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นและราคาน้ำมันอย่างมากน่าจะมีการปรับฐานในระยะนี้จึงแนะนำขายทำ กำไร แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนระยะยาวในทองคำ" นางสาวศุภมาส กล่าว