ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.ทิสโก้ส่งกองบอนด์โสม 1 ปีเอาใจนักลงทุนช่วงดอกเบี้ยต่ำ หลังคาดอัตราดอกเบี้ยเกาหลีนิ่งนาน ก่อนปรับเข้าสู้ขาขึ้นประมาณไตรมาส 1 ปีหน้า หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตามคาดการณ์ พร้อมแนะนักลงทุนล็อกอายุตราสาร 1 ปีก่อนรอจังหวะลงทุนใหม่ ขณะเดียวกันเตรียมปิดกองบอนด์โสมเดือนนี้ เหตุครบอายุโครงการ นักลงทุนเตรียมรับผลตอบแทนตั้งแต่ 3.5%-4%
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน กองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สถาการณ์ด้านอัตราดอกเบี้ยในประเทศเกาหลีใต้ล่าสุดขณะนี้ยังไม่ลดต่ำมากนัก โดยล่าสุดในการประชุมของธนาคารกลางประเทศเกาหลีใต้ได้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% และเชื่อว่าน่าจะคงอยู่ในระดับนี้อยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะปรับไปเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้งหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวตามคาดการณ์
"เทรนดอกเบี้ยตอนนี้เป็นไปตามกระแสเดียวกันทั่้วโลก ซึ่งมองว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจากจุดนี้ไปอัตราดอกเบี้ยน่าจะเป็นช่วงขาขึ้นมากกว่า แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะขึ้นเมื่อไรเท่านั้น แต่ก็จะทรงตัวอยู่ในระดับนี้สักระยะหนึ่ง"นายสาห์รัชกล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ได้ทำการเปิดขายใหม่ได้แก่"กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้ภาครัฐเกาหลี"อายุโครงการประมาณ 1 ปี มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 17 มิถุนายน 2552 โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่รัฐ่่บาล องค์การ หน่วยงานของรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจประเทศเกาหลีใต้เป็นผู้ออก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน นอกจากนี้จะมีการทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราอัตรแลกเปลี่ยนเต็มอัตราอีกด้วย
นายสาห์รัช กล่าวอีกว่า กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐเกาหลีกองนี้จะมีผลตอบแทนหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ประมาณ 2.5-2.9% ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทีดีของนักลงทุนในขณะที่ผลตอบแทนจากเงินฝาก และตราสารหนี้ในประเทศอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งในด้านความเสี่ยงของประเทศเกาหลีขณะนี้ยังดีกว่าและปรับตัวดีขึ้นภายหลังมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจออกมา โดยนักลงทุนควรจะคงอายุการลงทุนตราสารหนี้เอาที่ประมาณ 1 ปี เนื่องจากหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจะได้นำเงินมาลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นได้
"ทุกคนมองว่าดอกเบี้ยมันต่ำสุดแล้ว และถ้าเศรษฐกิจฟื้นกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรทำคือล็อคอายุตราสารไว้ โดยตราสารอายุ 1 ปีน่าจะพอดีกับการที่นักลงทุนจะนำเงินมาลงทุนใหม่ โดยอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 1 ปีหน้า แต่ต้องขึ้อยู่กับภาวะเศรษฐกิจด้วย ซึ่งหากเป็นการตกต่ำแบบตัววีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นตัวยู ก็จะทำให้เศรษฐกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานหน่อย"นายสาห์รัชกล่าว
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มออกมาบ้าง ทั้งจากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในอนาคตเงินเฟ้ออาจปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ แต่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อคงจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นจนส่งเท่ากับช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ถึงระดับ 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถึงแม้จะมีความต้องการบริโภคเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ แต่กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับเดิมก็ตาม
นายสาห์รัช กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐเกาหลีที่กำลังเปิดขายในปัจจุบัน บริษัทยังเตรียมที่จะทำการยกเลิกกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรเกาหลี ในวันที่ 16 มิถุนายน 2552 เนื่องจากครบกำหนดอายุโครงการตามที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวนโครงการ โดยบริษัทจัดการจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 และจะจ่ายเงินให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป
"สำหรับกองทุนเกาหลีที่บริษัทจะทำการปิดกองทั้ง 2 กองทุนจะมีผลตอบแทนประมาณ 3.5-3.7% หรือ 4% ตามแต่ช่วงเวลาที่เข้าลงทุน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตอนนั้นยังอยู่ในระดับสูงก่อนที่จะมีการปรับลดลงมาในปัจจุบัน"นายสาห์รัชกล่าว
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุน กองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สถาการณ์ด้านอัตราดอกเบี้ยในประเทศเกาหลีใต้ล่าสุดขณะนี้ยังไม่ลดต่ำมากนัก โดยล่าสุดในการประชุมของธนาคารกลางประเทศเกาหลีใต้ได้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% และเชื่อว่าน่าจะคงอยู่ในระดับนี้อยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะปรับไปเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้งหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวตามคาดการณ์
"เทรนดอกเบี้ยตอนนี้เป็นไปตามกระแสเดียวกันทั่้วโลก ซึ่งมองว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจากจุดนี้ไปอัตราดอกเบี้ยน่าจะเป็นช่วงขาขึ้นมากกว่า แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะขึ้นเมื่อไรเท่านั้น แต่ก็จะทรงตัวอยู่ในระดับนี้สักระยะหนึ่ง"นายสาห์รัชกล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ได้ทำการเปิดขายใหม่ได้แก่"กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้ภาครัฐเกาหลี"อายุโครงการประมาณ 1 ปี มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 17 มิถุนายน 2552 โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่รัฐ่่บาล องค์การ หน่วยงานของรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจประเทศเกาหลีใต้เป็นผู้ออก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน นอกจากนี้จะมีการทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราอัตรแลกเปลี่ยนเต็มอัตราอีกด้วย
นายสาห์รัช กล่าวอีกว่า กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐเกาหลีกองนี้จะมีผลตอบแทนหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ประมาณ 2.5-2.9% ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทีดีของนักลงทุนในขณะที่ผลตอบแทนจากเงินฝาก และตราสารหนี้ในประเทศอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งในด้านความเสี่ยงของประเทศเกาหลีขณะนี้ยังดีกว่าและปรับตัวดีขึ้นภายหลังมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจออกมา โดยนักลงทุนควรจะคงอายุการลงทุนตราสารหนี้เอาที่ประมาณ 1 ปี เนื่องจากหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจะได้นำเงินมาลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นได้
"ทุกคนมองว่าดอกเบี้ยมันต่ำสุดแล้ว และถ้าเศรษฐกิจฟื้นกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรทำคือล็อคอายุตราสารไว้ โดยตราสารอายุ 1 ปีน่าจะพอดีกับการที่นักลงทุนจะนำเงินมาลงทุนใหม่ โดยอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 1 ปีหน้า แต่ต้องขึ้อยู่กับภาวะเศรษฐกิจด้วย ซึ่งหากเป็นการตกต่ำแบบตัววีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นตัวยู ก็จะทำให้เศรษฐกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานหน่อย"นายสาห์รัชกล่าว
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มออกมาบ้าง ทั้งจากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในอนาคตเงินเฟ้ออาจปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ แต่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อคงจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นจนส่งเท่ากับช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ถึงระดับ 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ถึงแม้จะมีความต้องการบริโภคเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ แต่กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับเดิมก็ตาม
นายสาห์รัช กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐเกาหลีที่กำลังเปิดขายในปัจจุบัน บริษัทยังเตรียมที่จะทำการยกเลิกกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรเกาหลี ในวันที่ 16 มิถุนายน 2552 เนื่องจากครบกำหนดอายุโครงการตามที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวนโครงการ โดยบริษัทจัดการจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 และจะจ่ายเงินให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไป
"สำหรับกองทุนเกาหลีที่บริษัทจะทำการปิดกองทั้ง 2 กองทุนจะมีผลตอบแทนประมาณ 3.5-3.7% หรือ 4% ตามแต่ช่วงเวลาที่เข้าลงทุน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตอนนั้นยังอยู่ในระดับสูงก่อนที่จะมีการปรับลดลงมาในปัจจุบัน"นายสาห์รัชกล่าว