ASTVผู้จัดการรายวัน - สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เชื่อพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง 3 หมื่นล้านบาท ได้รับความสนใจ เหตุผลตอบแทนจูงใจผู้มีเงินออม ลุ้นรัฐบาลออกล๊อตหลังตามมาเพิ่ม ระบุซัพพลายน้อย ออกช้า ดันภาระต้นทุนกระทรวงการคลังสูงกว่าที่ควรจะเป็น
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวถึงการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งวงเงิน 30,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ซึ่งเป็นไปตามแผนการกู้เงินภาครัฐในปีงบประมาณ 52 ว่า การออกพันธบัตรดังกล่าว เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการตามแผนอยู่แล้ว โดยเข้าใจว่ามีการปรับวงเงินเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย แต่การที่ออกมาจำนวน 30,000 ล้านบาทนั้นอาจจะเป็นจำนวนที่น้อยไปบ้างสำหรับสภาวะสภาพคล่องในตลาดการเงินปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ที่กระทรวงการคลังต้องการวัดระดับความต้องการของประชาชนก่อนว่า จะให้ความสนใจมากเพียงใด เนื่องจากกระทรวงการคลังค่อนข้างที่จะระมัดระวังมากว่า หากออกมามากๆแล้วจะขายไม่หมด จึงต้องใช้รูปแบบที่คอนเซอร์เวทีฟเอาไว้ก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าหลังจากการออกครั้งนี้ ถ้าได้รับการตอบรับจากผู้มีเงินออมเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะมีการออกครั้งต่อไปในจำนวนที่มากขึ้นตามมาอีกก็เป็นได้
นายณัฐพล กล่าวว่า สำหรับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรออมทรัพย์ ไทยเข้มแข็ง ที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงตลาดบวก ดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อจูงใจนักลงทุน และกำหนดดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ซึ่งหลังจาก 3 ปีแรกไปแล้ว จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกนั้น เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับภาคธุรกิจเอกชนที่มองว่า แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยจากนี้ไปน่าที่จะขยับเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนกันบ้างแล้ว ทำให้กระทรวงการคลังซึ่งไม่แน่ใจอยู่แล้วว่าพันธบัตรจะได้รับความสนใจมากน้อยเพียงใด จึงต้องกำหนดให้ดอกเบี้ยจะต้องสอดคล้องกับทิศทาง และจะต้องจูงใจผู้มีเงินออมด้วย
ทั้งนี้ ค่อนข้างเชื่อมั่นว่า พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง จะได้รับความสนใจจากผู้มีเงินออม เพราะแม้ทิศทางดอกเบี้ยเริ่มจะส่งสัญญาณปรับขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นมากมายนัก ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งแล้ว จึงเชื่อว่าพันธบัตรล๊อตนี้ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้มีเงินออมอยู่มาก จึงไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องที่จะกังวลว่าขายไม่หมดแต่อย่างใด
โดยรวมๆแล้ว ยังมองว่า การออกพันธบัตรครั้งนี้ ค่อนข้างที่จะน้อยเกินไปหน่อย และช้าไปบ้าง ซึ่งจะทำให้ภาระต้นทุนของกระทรวงการคลังต้องเพิ่มขึ้นไปด้วยจากทิศทางดอกเบี้ย แต่ก็เข้าใจว่ากระทรวงการคลังต้องระวังในหลายๆด้าน โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมารัฐบาลและกระทรวงการคลังถูกตั้งคำถามและตรวจสอบในเรื่องของการกู้เงิน 400,000 ล้านบาทเป็นอย่างมาก จึงอาจจะส่งผลให้การออกพันธบัตรออมทรัพย์จำเป็นที่จะต้องออกล่าช้าไปบ้างเช่นนี้
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง จะเปิดขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในเดือน กรกฎาคม กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำคนละ 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยน่าจะจูงใจกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.14 และ 5 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.84 ตามปกติอัตราผลตอบแทนพันธบัตรออมทรัพย์จะสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลทั่วไปอยู่ราวร้อยละ 15
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวถึงการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งวงเงิน 30,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ซึ่งเป็นไปตามแผนการกู้เงินภาครัฐในปีงบประมาณ 52 ว่า การออกพันธบัตรดังกล่าว เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการตามแผนอยู่แล้ว โดยเข้าใจว่ามีการปรับวงเงินเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย แต่การที่ออกมาจำนวน 30,000 ล้านบาทนั้นอาจจะเป็นจำนวนที่น้อยไปบ้างสำหรับสภาวะสภาพคล่องในตลาดการเงินปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ที่กระทรวงการคลังต้องการวัดระดับความต้องการของประชาชนก่อนว่า จะให้ความสนใจมากเพียงใด เนื่องจากกระทรวงการคลังค่อนข้างที่จะระมัดระวังมากว่า หากออกมามากๆแล้วจะขายไม่หมด จึงต้องใช้รูปแบบที่คอนเซอร์เวทีฟเอาไว้ก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าหลังจากการออกครั้งนี้ ถ้าได้รับการตอบรับจากผู้มีเงินออมเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะมีการออกครั้งต่อไปในจำนวนที่มากขึ้นตามมาอีกก็เป็นได้
นายณัฐพล กล่าวว่า สำหรับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรออมทรัพย์ ไทยเข้มแข็ง ที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงตลาดบวก ดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อจูงใจนักลงทุน และกำหนดดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ซึ่งหลังจาก 3 ปีแรกไปแล้ว จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกนั้น เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับภาคธุรกิจเอกชนที่มองว่า แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยจากนี้ไปน่าที่จะขยับเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการที่ธนาคารพาณิชย์เริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนกันบ้างแล้ว ทำให้กระทรวงการคลังซึ่งไม่แน่ใจอยู่แล้วว่าพันธบัตรจะได้รับความสนใจมากน้อยเพียงใด จึงต้องกำหนดให้ดอกเบี้ยจะต้องสอดคล้องกับทิศทาง และจะต้องจูงใจผู้มีเงินออมด้วย
ทั้งนี้ ค่อนข้างเชื่อมั่นว่า พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง จะได้รับความสนใจจากผู้มีเงินออม เพราะแม้ทิศทางดอกเบี้ยเริ่มจะส่งสัญญาณปรับขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นมากมายนัก ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งแล้ว จึงเชื่อว่าพันธบัตรล๊อตนี้ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้มีเงินออมอยู่มาก จึงไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องที่จะกังวลว่าขายไม่หมดแต่อย่างใด
โดยรวมๆแล้ว ยังมองว่า การออกพันธบัตรครั้งนี้ ค่อนข้างที่จะน้อยเกินไปหน่อย และช้าไปบ้าง ซึ่งจะทำให้ภาระต้นทุนของกระทรวงการคลังต้องเพิ่มขึ้นไปด้วยจากทิศทางดอกเบี้ย แต่ก็เข้าใจว่ากระทรวงการคลังต้องระวังในหลายๆด้าน โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมารัฐบาลและกระทรวงการคลังถูกตั้งคำถามและตรวจสอบในเรื่องของการกู้เงิน 400,000 ล้านบาทเป็นอย่างมาก จึงอาจจะส่งผลให้การออกพันธบัตรออมทรัพย์จำเป็นที่จะต้องออกล่าช้าไปบ้างเช่นนี้
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง จะเปิดขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในเดือน กรกฎาคม กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำคนละ 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยน่าจะจูงใจกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.14 และ 5 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.84 ตามปกติอัตราผลตอบแทนพันธบัตรออมทรัพย์จะสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลทั่วไปอยู่ราวร้อยละ 15
