"ฟิลลิป"เล็งฟอร์มทีมการตลาด หวังสร้างจุดแข็งรับมือการเติบโต

ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.ฟิลลิป เปิดแผนการตลาดครึ่งปีหลัง หวังพึ่งตัวแทนจำหน่ายขายกองทุนเช่นเคย คาดสิ้นปี จะสามารถเพิ่มยอดนักลงทุนได้ถึง 1,500 ราย โดยจะมาจากกองทุนมันนี่มาร์เก็ตและกองทุนรวมแปซิฟิกเป็นหลัก เผยอนาคตเตรียมมีทีมการตลาดเป็นของตัวเอง เพิ่มจุดแข็งให้บริษัท

นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยถึงแผนการตลาดครึ่งปีหลังว่า ขณะนี้บริษัทยังใช้ตัวแทนจำหน่ายขายกองทุน (เซลลิ้งเอเจนต์) เป็นหลัก เนื่องจากว่า บลจ. ฟิลลิป เองเป็นบลจ. น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดได้มาประมาณเพียง 2 ปี ยังมีฐานลูกค้าไม่มากนัก ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่เข้ามาลงทุนกับบริษัทประมาณ 1,000 รายเท่านั้น ซึ่งคาดว่าในช่วงสิ้นปีจะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าได้อีกประมาณ 500 ราย รวมเป็น 1,500 ราย

 สำหรับลูกค้าที่จะได้มานั้น คาดว่าน่าจะมาจากนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมมันนี่มาร์เก็ตเป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทนที่ไม่ค่อยจูงใจนักลงทุนมากนัก เพราะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาต่ำมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องการหาช่องทางใหม่ ๆ ในการลงทุนที่มีสภาพคล่องสามารถฝากถอนได้ทุกวันทำการเช่นเดียวกับเงินฝากธนาคาร

 นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่านักลงทุนอาจจะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมเอเชียแปซิฟิกด้วย เนื่องจากว่ากลุ่มประเทศแถบเอเชียนั้น ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ถึงแม้ว่าปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยก็ตาม
"ทีมงานการตลาดของเราขณะนี้ยังไม่มีเป็นของตัวเอง เนื่องจากว่าเรายังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากนัก อีกทั้งนักลงทุนเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักกับบริษัทเราดีด้วย ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นขายกองทุนผ่านทางเซลลิ้งเอเจนต์เป็นหลัก แต่คาดว่าในอนาคตเมื่อเรามีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ก็คงต้องมีทีมการตลาดเป็นของตัวเอง เพราะขณะนี้นอกจากเราจะขายกองทุนผ่านทางเซลลิ้งเอเจนต์เองแล้ว เรายังต้องออกไปพบลูกค้าเองด้วย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและอธิบายนโยบายการลงทุนของบริษัทว่าเป็นอย่างไร เมื่อเกิดภาวะเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่นภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น นักลงทุนจะได้เข้าใจ" นายวรรธนะ กล่าว

 สำหรับกองทุนเปิดฟิลลิป บริหารเงิน ณ วันที่ 30 เมษายน 2552 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิหรือเอ็นเอวีอยู่ที่ 146.83 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 10.49 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนของกองทุน ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.66% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.49% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.34% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.73% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.75% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.14% และผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 2.86% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.41%
ขณะเดียวกันตราสารหนี้ 5 อันดับแรกของผู้ออกตราสารที่กองทุนเข้าไปลงทุน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน แบ่งออกเป็น พันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตร ธปท. 54.48% , เงินฝากธนาคาร อาร์เอชบี จำกัด สาขากรุงเทพฯ 15.45% , เงินฝากธนาคารซิตี้แบงก์ 9.45% , เงินฝากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) 6.59% , และ เงินฝากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) 5.83%
 ส่วนกองทุนรวมเอเซียแปซิฟิกนั้นไตรมาส 2 ผลตอบแทนของกองทุนย้อนหลัง  1 เดือนอยู่ที่ 3.23% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -1.75%  ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.44% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -3.44% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -18.41% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -22.33% และย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -31.70% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -34.95%