นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ประเทศจีนจะนำพาเศรษฐกิจโลกหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่จะเป็นไปตามที่หลายคนมองไว้หรือไม่นั้น ก็คงต้องติดตามความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจจีน ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนบ้าง โดยล่าสุด...ประเทศจีนได้ร่วมมือกับประเทศอังกฤษเพื่อแลกเปลี่ยนการลงทุนในตลาดหุ้น โดยจีนจะเปิดให้บริษัทลงทุนจากอังกฤษเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ขณะที่อังกฤษก็จะเปิดช่องให้บริษัทของจีนเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนได้เช่นกันทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่มีกำหนดเงื่อนเวลา โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายอังกฤษบอกแต่เพียงว่า ธนาคาร HSBC จะเป็นแนวหน้าในเรื่องนี้ และทางการอังกฤษจะพยายามทำให้บริษัทลงทุนจากจีนเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนได้ภายในเดือนนี้
โดยนายอลาสแตร์ ดาร์ลิง รัฐมนตรีการคลังของอังกฤษ กล่าวว่า เราตกลงกันว่าจะสนับสนุนให้บริษัทจากอังกฤษเข้ามาจดทะเบียนในจีนได้ และบริษัทจากจีนเข้าไปจดทะเบียนในอังกฤษได้
ขณะที่เจ้าหน้าที่จากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า เขาจะอนุมัติให้บริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ได้ในเวลาที่เหมาะสมซึ่งตอนนี้มีบริษัทลงทุนจากจีน 70 แห่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นลอนดอน ส่วนบริษัทลงทุนจากอังกฤษที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนจะเพิ่มเป็น 100 บริษัทภายในปี 2553
หู เสี่ยวเหลียน หัวหน้าฝ่ายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของจีน ยืนยันว่า เราจะพิจารณาผ่อนปรนการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา หากมีบริษัทต่างชาติได้รับอนุญาตให้มาจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นในจีน แต่เราจะต้องมองความสมดุลของการแลกเปลี่ยนเงินตราในภาพรวมด้วย
ทั้งนี้ จีนและอังกฤษตั้งเป้าว่าการค้าระหว่างสองประเทศจะทะลุเป้า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2553 โดยรองนายกรัฐมนตรี หวัง ฉีซัน ของจีน ได้มุ่งเน้นความสำเร็จไปที่ภาคธุรกิจการบิน เทคโนโลยีชีวภาพ เภสัชกรรม อิเลคทรอนิกส์ และการปกป้องสภาพแวดล้อม พร้อมกันนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบว่าจะผลักดันให้ข้อตกลงในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม หรือ จี20 ที่กรุงลอนดอน ทั้งเรื่องการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการขยายเงินช่วยเหลือเร่งด่วนแก่ไอเอ็มเอฟ และการปรับปรุงกลไกด้านการเงิน ประสบผลสำเร็จ
ขณะเดียวกันข้อมูลของกระทรวงคลังสหรัฐฯ ระบุว่า การถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ (ทีบอนด์) ของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 767,900 ล้านดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม จาก 744,200 ล้านดอลลาร์ ในเดือนก่อนหน้า โดยตัวเลขดังกล่าวไม่รวมมูลค่าการถือครองของฮ่องกง ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษของแผ่นดินใหญ่ ที่เพิ่มเป็น 78,900 ล้านดอลลาร์ จาก 76,300 ล้านดอลลาร์ โดยสถิตินี้แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงเป็นผู้ซื้อทีบอนด์รายใหญ่ แม้จะได้แสดงท่าทีมาหลายปีแล้วว่า พยายามกระจายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ตนมีอยู่อย่างมหาศาล ไปลงทุนด้านอื่นๆ นอกเหนือจากสินทรัพย์สกุลดอลลาร์
นอกจากนั้น เดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เวินเจียเป่า ได้แสดงความกังวลอย่างเป็นทางการแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก เกี่ยวกับความปลอดภัยของการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ จำนวนมาก แต่จากข้อมูลของกระทรวงคลังแดนอินทรีกลับพบว่า ในเดือนเดียวกันนั้น ปักกิ่งซื้อทีบอนด์ถึง 23,700 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นมูลค่าสูงสุดนับจากเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ประเทศจีนยังห่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เตรียมซื้อทีบอนด์ระยะยาวมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์เพื่อแก้ปัญหาการไหลเวียนของสินเชื่อ เนื่องจากอาจทำให้ผลตอบแทนจากการซื้อทีบอนด์ในอนาคตลดลง ความที่เป็นผู้ถือครองทีบอนด์รายใหญ่ ทำให้จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุดของสหรัฐฯ โดยอัตโนมัติ และยังเป็นผู้ที่ครอบครองทุนสำรองสกุลดอลลาร์สูงสุดในโลก เกือบสองล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าญี่ปุ่นราวสองเท่า และสี่เท่าของรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย
ทางด้าน ชีรัก มิรานี นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ แคปิตอล ตั้งข้อสังเกตว่า ในไตรมาสแรกปีนี้ จีนถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 40,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 7,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น หรือเเม้เเต่ นักวิเคราะห์บางคนสังเกตเห็นความสัมพันธ์ที่ผ่อนคลายขึ้นระหว่างการที่จีนไว้ใจว่า พันธบัตรสหรัฐฯ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย กับการที่วอชิงตันพึ่งพิงเงินทุนของจีนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากฝันร้าย ส่วนความสัมพันธ์นี้อาจชะลอความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลของโลก ที่เกิดจากการที่สหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น ขณะที่จีนเกินดุลมากขึ้น และปัญหานี้เป็นสาเหตุหนึ่งของวิกฤตการเงินโลกในปัจจุบัน
“ก่อนหน้านี้ ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ที่ประเทศยากจนอย่างจีน กลับอัดฉีดเงินทุนให้ประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ และไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าประเทศที่ยึดถืออิสระของตัวเองอย่างมากอย่างสหรัฐฯ ต้องพึ่งพิงการระดมทุนอย่างมากจากประเทศเพียงประเทศเดียว” สภาว่าด้วยความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ซึ่งเป็นกลุ่มศึกษาวิจัยด้านนโยบายการต่างประเทศชื่อดังของสหรัฐฯ ระบุ
แบรด เซ็ตเซอร์ และอาร์ปานา ปันเดย์ ผู้เชี่ยวชาญของกลุ่มนี้เสริมว่า หากสหรัฐฯยังไม่ปรับฐานที่จำเป็น เพื่อจะได้ชำระสินค้านำเข้าด้วยเงินซึ่งได้จากสินค้าส่งออก ไม่ใช่ด้วยการออกตราสารหนี้กู้ยืมต่างประเทศ แต่ยังคงพึ่งพิงเงินทุนจากจีนอยู่ต่อไปเช่นนี้แล้ว การแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลของโลกย่อมยิ่งทำได้ยากขึ้น ขณะเดียวกัน ตราบใดที่รัฐบาลจีนยังคงผูกโยงอย่างแน่นหนากับดอลลาร์ และถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์จำนวนมาก การที่จะสร้างเศรษฐกิจโลกที่มีความสมดุลทางการเงิน ก็ย่อมเป็นเรื่องลำบาก ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองให้ความเห็น
มาตรการกู้เศรษฐกิจจีนเห็นผลเเล้วหรือยัง
นักวิเคราะห์เเละนักเศรษฐศาสาตร์หลายฝ่ายมองว่า แม้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจแดนมังกรเห็นผลเร็วเกินคาด แต่รักษาการเติบโตของเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นเท่านั้น นักวิเคราะห์ระบุ พร้อมกับเตือนจีนอาจมัวแต่ดีใจ จนลืมมองปัญหาท้าทายการเติบโตในระยะยาว จนบัดนี้ รัฐบาลจีนยังมิได้เสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ก่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระดับลึก ซึ่งจำเป็นสำหรับการรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากงบประมาณในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจหมดลงแล้ว อันเป็นสิ่งที่แตกต่างจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าแห่งสหรัฐฯ ซึ่งมีการบรรจุเรื่องการปรับปรุงระบบดูแลสุขภาพประชาชน, การศึกษา และการใช้พลังงานในระยะยาวเข้าไว้ด้วย
นอกจากนั้น ยังมีความแตกต่างจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนเองในช่วงวิกฤตการเงินเอเชียเมื่อปี 2540-2541 ซึ่งเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างมาก ครั้งนั้นรัฐบาลได้บรรจุแผนยกเครื่องเศรษฐกิจรวมเข้าไว้ด้วย โดยมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการเคหะไปสู่มือเอกชน นอกจากนั้น ยังเริ่มการผลักดันให้จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
อาร์เทอร์ โครเบอร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทวิจัย ดราโกโนมิกส์ ในกรุงปักกิ่ง มองงว่า เเผนกระตุ้นเศรษฐกิจปัจจุบันของจีนมีลักษณะของการชดเชยชั่วคราว มิใช่ทางออก จากความเห็นของวน แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนปัจจุบัน ทุ่มเทงบประมาณไปในการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภค เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตในระยะสั้น สำหรับชนบท รัฐกลับเริ่มโครงการให้เงินอุดหนุน เพื่อช่วยเกษตรกรซื้อรถ และอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ อันเป็นการช่วยเหลือชั่วคราว แทนที่จะยกเลิกมาตรการกีดขวางชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพวกเขา เช่น การเปิดโอกาสให้ได้เข้าถึงแหล่งการเงินได้มากขึ้น ทั้งนี้ การประกอบธุรกิจในเขตชนบทมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจจีน แต่กลับได้รับสินเชื่อจากธนาคารประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น จากข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD)
สำหรับปัญหาท้าทายในระยะยาว ที่นักวิเคราะห์มองว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับจีน นอกเหนือจากการมองหาวิธีการอื่น เพิ่มเติมจากการพึ่งพาเฉพาะการส่งออกเพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว ยังได้แก่ การผ่อนคลายกฎระเบียบในเศรษฐกิจของจีน ซึ่งยังมีลักษณะผสมผสานระหว่างระบบตลาดกับการเข้ามาควบคุมของรัฐ ทั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาศักยภาพในการผลิต โดยแม้ว่าศักยภาพนอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งอาจเป็นภาคบริการ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอนาคต ทว่าวิสาหกิจรัฐก็ยังเป็นผู้ครอบงำภาคบริการหลัก ๆ เช่น การขนส่ง และการสื่อสาร
หากรัฐบาลจีนยกเลิกมาตรการกีดกัน เปิดทางให้เอกชนเข้ามาลงทุนในภาคเหล่านั้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเศรษฐกิจทั้งประเทศ และกระตุ้นให้เกิดคลื่นการลงทุนลูกใหม่ในภาคธุรกิจ ที่ก่อผลกำไร
จาง เสี่ยวชิง นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันสังคมศาสตร์แห่งจีน ซึ่งเป็นสถาบันของรัฐระบุว่า เราไม่อาจปล่อยเนื้อก้อนโตชิ้นนี้ตกเป็นอาหารอันโอชะสำหรับภาครัฐได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องเปิดประตูให้เอกชนเข้ามาลงทุน อย่างกรณีรัฐบาลปล่อยให้การสร้างบ้านเป็นธุรกิจของเอกชนเมื่อ 2541 ซึ่งนำไปสู่คลื่นการลงทุนของบริษัทเอกชน และการใช้จ่ายของผู้บริโภคครั้งใหม่
ส่วนธนาคารประชาชนจีนยังระบุในรายงานช่วงไตรมาส 4 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การเร่งย่างก้าวในการปรับโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญมากกว่าการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวอาจไปขัดแย้งกับภารกิจสำคัญอันดับแรก ๆ ของรัฐบาลจีนได้ เช่น การสร้างให้ประเทศจีนติดอันดับหนึ่งของโลกในด้านต่าง ๆ นอกจากนั้น ยังมีอุปสรรคจากการรีรอของเจ้าหน้าที่ในการเปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งที่วิสาหกิจรัฐทำกำไรได้มากในช่วงไม่กี่ปีก่อนก็ตาม โดยปัญหาก็คือรัฐบาลเข้ามาควบคุมแหล่งทรัพยากรทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมมากเกินไป ผลประโยชน์ของรัฐบาลเองจึงตกอยู่ในความเสี่ยง
เเม้เเต่โลกไซเบอร์มังกรยังผยอง
ไม่เว้นเเม้เเต่โลกของไซเบอร์ เเม้เเต่ประเทศจีนยังเป็นผู้นำ โดยในปี 2551 ที่ผ่านมา ตลาดเกมออนไลน์ของจีนสร้างรายได้มากถึง 20,800 ล้านหยวน (3,040 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 52.2% โดยรายได้มากกว่า 80% มาจากเกมออนไลน์แบบ Multiplayer ส่วนที่เหลือมาจากเกมในเว็บไซต์และเกมมือถือ ซึ่งในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ตลาดโดยรวมทั้งหมดจะสามารถรักษาการเติบโต 20% ต่อปีและไอรีเสิร์ชคาดการณ์ว่าตลาดเกมออนไลน์จะมีมูลค่ามากกว่า 68,000 ล้านหยวนภายในปี 2555 ซึ่งมูลค่าคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดโลก และในตอนนี้สหรัฐฯ จีน และเกาหลีก็เป็นตลาดเกมออนไลน์ใหญ่ 3 อันดับแรกของโลก โดยมีสัดส่วนเป็น 29% 27% และ 21% ของตลาดออนไลน์โลก ตามลำดับ
โดยบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการจำหน่ายเกมในต่างประเทศ ขณะที่รายได้ของอุตสาหกรรมเกมออนไลน์เกาหลีใต้กว่าครึ่งมาจากในประเทศของตัวเอง อย่างไรก็ตามในประเทศจีน เม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากผู้เล่นเกมของตัวเองโดยตรง แต่ด้วยผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว ไอรีเสิร์ชเชื่อว่าทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีมีแนวโน้มที่จะลดการส่งออกเกมลง ส่วนในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีผู้เล่นเกมออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว จะยังคงผลักดันอุตสาหกรรมเกมออนไลน์ของจีนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากสถิติล่าสุดของศูนย์ข้อมูลเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเผย จีนมีผู้เล่นเกมออนไลน์มากถึง 55.5 ล้านคน และจากรายงานของไอรีเสิร์ชยังระบุว่า เมื่อปีที่แล้วผู้เล่นอายุต่ำกว่า 18 ปีและมากกว่า 40 ปีกำลังขยายตัวขึ้นในอัตราเร็ว