สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) ได้ทำการประเมินถึง ผลกระทบจากการเกิดไข้หวัดหมูในครั้งนี้ที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศเม็กซิโก มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบเป็นวงกว้างมากว่าการระบาดของ SARS ในปี2546 ซึ่งมีจำนวนผู้เสียชีวิตประมาณ 750 รายทั่วโลก และคาดว่าการกระจายของเชื้อโรคจะรุนแรงกว่าไข้หวัดนกในช่วงปี 2547 โดยล่าสุดไข้หวัดหมูทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 90 คนทั่วโลก ในขณะที่การระบาดได้เข้าสู่ประเทศอื่น ได้แก่ สหรัฐฯ(นิวยอร์ก แคลิฟอเนีย แคนซัส เท็กซัส และ โอไฮโอ) แคนนาคา ฝรั่งเศส สเปนอิสราเอล นิวซีแลนด์
ทั้งนี้ได้ทำการประเมิณถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าได้รับผลกระทบทางลบ จากการเกิดการระบาดของไข้หวัดหมูโดยตรง คือ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มขนส่งทางอากาศ และ กลุ่มพาณิชย์ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกจะชะลอการเดินทางเนื่องจากไม่แน่ใจในการความปลอดภัย และขอบข่ายของการติดเชื้อ นอกจากนี้ SCRI คาดว่าพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีอากาศถ่ายเทต่ำซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว จะครอบคลุมถึง พื้นที่ศูนย์การค้า และ สนามบิน
ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับกระทบเชิงบวก คือ กลุ่มโรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจาก คาดว่า การระบาดของเชื้อไข้วัดหมู ที่มีการระบาดเป็นวงกว้างและมีผลกระทบเร็วและรุนแรงต่อชีวิต จะเป็นปัจจัยให้ประชาชน ตระหนักในสุขภาพมากขึ้นและจะเข้าตรวจรักษาเมื่อมีอาการป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ทาง (SCRI) ได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยให้ ลดพอร์ต หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว MINT/THAI/ AOT/ CENTEL/ ERAWAN / CPALL / MAKRO / BIGC / HMPRO และ ROBINS และรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว กลุ่มเกษตร คือ CPF / TUF และ GFPT และแนะนำ ซื้อลงทุน BGH
กลุ่มโรงพยาบาล
ประเมินกลุ่มโรงพยาบาลว่าจะได้รับผลบวกจากการตื่นตัวในการใส่ใจด้านสุขภาพของคนไทยมากขึ้นหลังจากเกิดการแพร่ระบาดไข้หวัดหมูในทวีปอเมริกา แม้คาดผลกระทบจากไข้หวัดหมูในประเทศไทยจะอยู่ในวงจำกัด แต่ประเด็นข่าวการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเม็กซิโก 81 รายและติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาอีกกว่า 20ราย จะทำให้การเข้าตรวจสุขภาพของคนไทยเริ่มปรับเพิ่มขึ้น และสามารถชดเชยการชะลอตัวของผู้ป่วยต่างชาติที่เริ่มปรับลดลงได้ นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่หลากหลายและจัดโปรแกรมในการรักษา (แพคเกจ) ที่จูงใจของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอาทิ การลดราคาค่าห้องพักรักษาตัวผู้ป่วยใน การลดค่ายาและเวชภัณฑ์ เป็นต้น จะสามารถดึงดูดให้จำนวนลูกค้าที่เป็นคนไทยรวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (เอ็กซ์แพก) เข้ามารักษาตัวเร็วขึ้น ซึ่งประเมินกลุ่มโรงพยาบาลที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอย่าง BGH จะได้รับประโยชน์สูงสุดและส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิปี 2552 ยังเติบโต 14% yoy เป็น 1,888 ล้านบาท ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2552 เท่ากับ 30 บาท/หุ้น
ผลกระทบต่อกลุ่มท่องเที่ยว
ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของไข้หวัดหมูจะเริ่มต้นที่ประเทศ เม็กซิโก แต่เนื่องจากการกระจายตัวของเชื้อโรคที่คาดว่าจะมีความรุนแรงกว่า SARS ทำให้คาดว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกจะชะลอตัวลงในช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. 2552 โดยช่วงที่เกิดการระบาดของ SARS นั้นจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยลดลงประมาณ 50% mom เป็นเท่ากับเฉลี่ย 5 แสนคนต่อเดือน และการระบาดของโรค SARSในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 750 ราย เปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ไข้หวัดหมูมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 90 รายทั่วโลก
โดยคาดว่าในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยในปีนี้ลดลง 25% yoy เป็นเท่ากับ 11 – 11.5 ล้านคน อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็น Base Case คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะเท่ากับ 11.5 – 12 ล้านคนเนื่องจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากทวีปอเมริกาและประเทศใกล้เคียงมีสัดส่วนประมาณ 5.6% ของจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2551 รวมถึงยังประเมินการท่องเที่ยวในปี 2552 จะเสียหายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทบนสมมุติฐานของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง 15% yoy ซึ่งในเบื้องต้นแล้วจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ลดลง 0.5%: จากการประเมินในเบื้องต้นภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมแล้วจะได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่ในขอบเขตประมาณ 150,000 - 200,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าจะส่งผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณ 0.35 – 0.5%
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องประเมินและจับตาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิดว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีความรุนแรงและยืดเยื้อต่อเนื่องออกไป อาจจะต้องมีการปรับประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจลงอีกก็เป็นได้ ขณะเดียวกันยังคงน้ำหนักของกลุ่มท่องเที่ยวที่ “Bearish” และแนะนำ“หลีกเลี่ยง” การลงทุนทั้ง ERAWAN / CENTEL / MINT
กลุ่มพาณิชย์
แยกการประเมินผลกระทบจากประเด็นข่าวดังกล่าวออกเป็นทางตรงและทางอ้อม โดยที่ผลกระทบโดยตรงคือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะลดลง ส่งผลกระทบต่อจำนวนลูกค้าในห้างสรรพสินค้าต่างๆ และในส่วนของผลกระทบทางอ้อมคือผู้บริโภคที่เป็นคนไทยอาจจะลดลงเพราะมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคในห้างสรรพสินค้าจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคาดว่าหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ทั้ง CPALL / MAKRO / BIGC / HMPRO และ ROBINS จะได้รับผลกระทบด้านลบจากการระบาดของโรคไข้หวัดหมู
กลุ่มขนส่ง
แม้การประกาศยกเลิก พรก. สถานการณ์ฉุกเฉินจะเป็นสัญญาณบวกที่คาดจะช่วยฟื้นความมั่นใจและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมู สร้างความตื่นตระหนกให้แก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้มีการประเมินว่ากิจกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกในช่วง ไตรมาส 2ถึงไตรมาส3ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงจะเริ่มเข้า Low Season ด้วยจะยิ่งชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากอเมริกาที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5.6% ของนักท่องเที่ยวรวม เนื่องจากยังมีความกังวลถึงการติดเชื้อโรคไข้หวัดหมูที่อาจเกิดการแพร่ระบาด ทำให้เลือกที่จะอยู่ในประเทศเพื่อเฝ้าระวังจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ภาพรวมของผลการดำเนินงานในกลุ่มขนส่งเริ่มจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส1 จากผลบวกของช่วง HighSeason และได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 ซึ่งจะเข้าสู่ช่วง LowSeason และคาดจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากความกังวลในประเด็นการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดหมูรวมถึงความไม่สงบจนต้องมีการประกาศ พรก.ฉุกเฉินตั้งแต่ช่วงต้นเม.ย. 52 จะทำให้แนวโน้มผลประกอบการในไตมาส 2กลับมาอ่อนตัวลง ทั้งนี้ แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุน
กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร
ประเด็นข่าวดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อการบริโภคเนื้อสุกรภายในประเทศในระยะสั้นเนื่องมาจากผู้บริโภคจะยังคงมีความกังวลต่อการบริโภค รวมทั้งราคาเนื้อสุกรที่อยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นคาดในระยะสั้นผู้บริโภคจะเปลี่ยนการบริโภคจากเนื้อสุกร มาเป็นเนื้อไก่ / เนื้อปลา ที่เป็นสินค้าทดแทนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้บริโภคเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นข่าวดังกล่าวรวมทั้งสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศต่างๆ เริ่มที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์จะกลับมาเป็นปกติ
โดยบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเกษตรและอาหารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข่าวได้แก่ CPF และ GFPT โดย ประเมินว่าแม้ CPF จะได้รับผลกระทบจากการบริโภคเนื้อสุกรที่จะลดลง แต่จะได้ในส่วนของความต้องการบริโภคเนื้อไก่กลับมาทดแทน ทั้งนี้ CPF มีสัดส่วนยอดขายเนื้อสุกรและเนื้อไก่ราว 12% และ 20% ของยอดขายทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นผลกระทบต่อ CPF นั้น ประเมินว่าจะเป็น Neutral แต่ในส่วนของGFPT ที่มีรายได้จากการขายเนื้อไก่เป็นหลักนั้น จะได้รับประโยชน์จากความต้องการบริโภคเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้นรวมถึง TUF ที่มีรายได้ราว 45 - 50% ของรายได้รวมจากการขายปลาทูน่ากระป๋องที่สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในกรณีที่ผู้บริโภคที่สหรัฐฯเปลี่ยนการบริโภคเนื้อสุกรมายังเนื้อสัตว์อื่นๆ เช่นปลาทูน่า จะทำให้ TUF ได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด ให้ความเห็นว่า จากเหตุการณ์การเกิดไข้หวัดหมูขึ้นนี้ คงจะส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ธุรกิจห้างสรรพสินค้า สนามบิน รวมถึงโรงภาพยนต์ เพราะคนจะหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่คับแคบซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการแพร่เชื่อได้
อย่างไรก็ตามมองว่าในระยะสั้นนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องมากหนักไม่มากนักเพราะ โดยรวมแล้วที่ผ่านมาประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ดังนั้นหากจะไรับผลกระทบอีกคงได้รับไม่นักเท่าไรนัก
ทั้งนี้ได้ทำการประเมิณถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าได้รับผลกระทบทางลบ จากการเกิดการระบาดของไข้หวัดหมูโดยตรง คือ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มขนส่งทางอากาศ และ กลุ่มพาณิชย์ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกจะชะลอการเดินทางเนื่องจากไม่แน่ใจในการความปลอดภัย และขอบข่ายของการติดเชื้อ นอกจากนี้ SCRI คาดว่าพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีอากาศถ่ายเทต่ำซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว จะครอบคลุมถึง พื้นที่ศูนย์การค้า และ สนามบิน
ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับกระทบเชิงบวก คือ กลุ่มโรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจาก คาดว่า การระบาดของเชื้อไข้วัดหมู ที่มีการระบาดเป็นวงกว้างและมีผลกระทบเร็วและรุนแรงต่อชีวิต จะเป็นปัจจัยให้ประชาชน ตระหนักในสุขภาพมากขึ้นและจะเข้าตรวจรักษาเมื่อมีอาการป่วยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ทาง (SCRI) ได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยให้ ลดพอร์ต หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว MINT/THAI/ AOT/ CENTEL/ ERAWAN / CPALL / MAKRO / BIGC / HMPRO และ ROBINS และรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว กลุ่มเกษตร คือ CPF / TUF และ GFPT และแนะนำ ซื้อลงทุน BGH
กลุ่มโรงพยาบาล
ประเมินกลุ่มโรงพยาบาลว่าจะได้รับผลบวกจากการตื่นตัวในการใส่ใจด้านสุขภาพของคนไทยมากขึ้นหลังจากเกิดการแพร่ระบาดไข้หวัดหมูในทวีปอเมริกา แม้คาดผลกระทบจากไข้หวัดหมูในประเทศไทยจะอยู่ในวงจำกัด แต่ประเด็นข่าวการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเม็กซิโก 81 รายและติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาอีกกว่า 20ราย จะทำให้การเข้าตรวจสุขภาพของคนไทยเริ่มปรับเพิ่มขึ้น และสามารถชดเชยการชะลอตัวของผู้ป่วยต่างชาติที่เริ่มปรับลดลงได้ นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่หลากหลายและจัดโปรแกรมในการรักษา (แพคเกจ) ที่จูงใจของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอาทิ การลดราคาค่าห้องพักรักษาตัวผู้ป่วยใน การลดค่ายาและเวชภัณฑ์ เป็นต้น จะสามารถดึงดูดให้จำนวนลูกค้าที่เป็นคนไทยรวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย (เอ็กซ์แพก) เข้ามารักษาตัวเร็วขึ้น ซึ่งประเมินกลุ่มโรงพยาบาลที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอย่าง BGH จะได้รับประโยชน์สูงสุดและส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิปี 2552 ยังเติบโต 14% yoy เป็น 1,888 ล้านบาท ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2552 เท่ากับ 30 บาท/หุ้น
ผลกระทบต่อกลุ่มท่องเที่ยว
ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของไข้หวัดหมูจะเริ่มต้นที่ประเทศ เม็กซิโก แต่เนื่องจากการกระจายตัวของเชื้อโรคที่คาดว่าจะมีความรุนแรงกว่า SARS ทำให้คาดว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกจะชะลอตัวลงในช่วงเดือน เม.ย. – มิ.ย. 2552 โดยช่วงที่เกิดการระบาดของ SARS นั้นจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยลดลงประมาณ 50% mom เป็นเท่ากับเฉลี่ย 5 แสนคนต่อเดือน และการระบาดของโรค SARSในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 750 ราย เปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ไข้หวัดหมูมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 90 รายทั่วโลก
โดยคาดว่าในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยในปีนี้ลดลง 25% yoy เป็นเท่ากับ 11 – 11.5 ล้านคน อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็น Base Case คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะเท่ากับ 11.5 – 12 ล้านคนเนื่องจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากทวีปอเมริกาและประเทศใกล้เคียงมีสัดส่วนประมาณ 5.6% ของจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2551 รวมถึงยังประเมินการท่องเที่ยวในปี 2552 จะเสียหายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทบนสมมุติฐานของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง 15% yoy ซึ่งในเบื้องต้นแล้วจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ลดลง 0.5%: จากการประเมินในเบื้องต้นภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมแล้วจะได้รับผลกระทบโดยตรงอยู่ในขอบเขตประมาณ 150,000 - 200,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าจะส่งผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณ 0.35 – 0.5%
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องประเมินและจับตาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิดว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีความรุนแรงและยืดเยื้อต่อเนื่องออกไป อาจจะต้องมีการปรับประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจลงอีกก็เป็นได้ ขณะเดียวกันยังคงน้ำหนักของกลุ่มท่องเที่ยวที่ “Bearish” และแนะนำ“หลีกเลี่ยง” การลงทุนทั้ง ERAWAN / CENTEL / MINT
กลุ่มพาณิชย์
แยกการประเมินผลกระทบจากประเด็นข่าวดังกล่าวออกเป็นทางตรงและทางอ้อม โดยที่ผลกระทบโดยตรงคือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะลดลง ส่งผลกระทบต่อจำนวนลูกค้าในห้างสรรพสินค้าต่างๆ และในส่วนของผลกระทบทางอ้อมคือผู้บริโภคที่เป็นคนไทยอาจจะลดลงเพราะมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคในห้างสรรพสินค้าจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคาดว่าหุ้นในกลุ่มพาณิชย์ทั้ง CPALL / MAKRO / BIGC / HMPRO และ ROBINS จะได้รับผลกระทบด้านลบจากการระบาดของโรคไข้หวัดหมู
กลุ่มขนส่ง
แม้การประกาศยกเลิก พรก. สถานการณ์ฉุกเฉินจะเป็นสัญญาณบวกที่คาดจะช่วยฟื้นความมั่นใจและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมู สร้างความตื่นตระหนกให้แก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้มีการประเมินว่ากิจกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกในช่วง ไตรมาส 2ถึงไตรมาส3ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงจะเริ่มเข้า Low Season ด้วยจะยิ่งชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากอเมริกาที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5.6% ของนักท่องเที่ยวรวม เนื่องจากยังมีความกังวลถึงการติดเชื้อโรคไข้หวัดหมูที่อาจเกิดการแพร่ระบาด ทำให้เลือกที่จะอยู่ในประเทศเพื่อเฝ้าระวังจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ภาพรวมของผลการดำเนินงานในกลุ่มขนส่งเริ่มจะเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส1 จากผลบวกของช่วง HighSeason และได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 ซึ่งจะเข้าสู่ช่วง LowSeason และคาดจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากความกังวลในประเด็นการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดหมูรวมถึงความไม่สงบจนต้องมีการประกาศ พรก.ฉุกเฉินตั้งแต่ช่วงต้นเม.ย. 52 จะทำให้แนวโน้มผลประกอบการในไตมาส 2กลับมาอ่อนตัวลง ทั้งนี้ แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุน
กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร
ประเด็นข่าวดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อการบริโภคเนื้อสุกรภายในประเทศในระยะสั้นเนื่องมาจากผู้บริโภคจะยังคงมีความกังวลต่อการบริโภค รวมทั้งราคาเนื้อสุกรที่อยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นคาดในระยะสั้นผู้บริโภคจะเปลี่ยนการบริโภคจากเนื้อสุกร มาเป็นเนื้อไก่ / เนื้อปลา ที่เป็นสินค้าทดแทนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้บริโภคเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นข่าวดังกล่าวรวมทั้งสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศต่างๆ เริ่มที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์จะกลับมาเป็นปกติ
โดยบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเกษตรและอาหารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข่าวได้แก่ CPF และ GFPT โดย ประเมินว่าแม้ CPF จะได้รับผลกระทบจากการบริโภคเนื้อสุกรที่จะลดลง แต่จะได้ในส่วนของความต้องการบริโภคเนื้อไก่กลับมาทดแทน ทั้งนี้ CPF มีสัดส่วนยอดขายเนื้อสุกรและเนื้อไก่ราว 12% และ 20% ของยอดขายทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นผลกระทบต่อ CPF นั้น ประเมินว่าจะเป็น Neutral แต่ในส่วนของGFPT ที่มีรายได้จากการขายเนื้อไก่เป็นหลักนั้น จะได้รับประโยชน์จากความต้องการบริโภคเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้นรวมถึง TUF ที่มีรายได้ราว 45 - 50% ของรายได้รวมจากการขายปลาทูน่ากระป๋องที่สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในกรณีที่ผู้บริโภคที่สหรัฐฯเปลี่ยนการบริโภคเนื้อสุกรมายังเนื้อสัตว์อื่นๆ เช่นปลาทูน่า จะทำให้ TUF ได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว
นางสาวสหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด ให้ความเห็นว่า จากเหตุการณ์การเกิดไข้หวัดหมูขึ้นนี้ คงจะส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ธุรกิจห้างสรรพสินค้า สนามบิน รวมถึงโรงภาพยนต์ เพราะคนจะหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่คับแคบซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการแพร่เชื่อได้
อย่างไรก็ตามมองว่าในระยะสั้นนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องมากหนักไม่มากนักเพราะ โดยรวมแล้วที่ผ่านมาประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่างๆไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ดังนั้นหากจะไรับผลกระทบอีกคงได้รับไม่นักเท่าไรนัก