หากเอ่ยชื่อสินค้าแบรนด์ดัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า รองเท้าบาจา ยางกู๊ดเยียร์ เครื่องดื่มเป็ปซี่ พรมไทปิง คนไทยคงคุ้นหูกันดี แต่รู้หรือไม่ บริษัทผู้ผลิตสินค้าชั้นนำเหล่านี้ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า 30 ปี ย้ำภาพตลาดทุนใกล้ชิดกับสังคมไทยและไม่ใช่เรื่องไกลตัว ต่างฝ่ายต่างเกื้อหนุนพร้อมเติบโตมาด้วยกัน
ย้อนภาพอดีตกว่า 3 ทศวรรษของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จะครบรอบ 34 ปีในวันที่ 30 เมษายนนี่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก มีทั้งยุคเฟื่องฟูตามเศรษฐกิจไทย และยุคที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ และปัจจัยการเมืองมาหลายครั้ง แต่สิ่งที่อยู่เคียงคู่และเคียงข้างองค์กรแห่งนี้มาโดยตลอด คือบริษัทชั้นนำของไทย ซึ่งมีถึง 32 บริษัทที่เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ มานานกว่า 30 ปี
ในจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่อยู่เคียงข้างตลาดหลักทรัพย์ไทยมาอย่างยาวนานนี้ มีบริษัท 5 แห่งที่เริ่มซื้อขายหลักทรัพย์ตั้งแต่วันแรกที่เปิดทำการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันซึ่งก็คือ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทเก่าแก่ผู้ผลิตปูนซิเมนต์ตราช้าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในประเทศ บริษัทดุสิตธานี จำกัด เจ้าของเครือโรงแรมดุสิตธานี ที่มีโรงแรมระดับ 4-5 ดาวกว่า 20 แห่งทั่วโลก และบริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย กระดาษอนามัยยี่ห้อ Cellox สบู่ตรานกแก้ว ที่รู้จักกันดี รวมถึงบริษัทลีกวงมิ้งทรัสต์ ที่พัฒนามาเป็น บริษัททุนธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจการเงินธนชาตในปัจจุบัน
เมื่อมองย้อนประวัติอันยาวนานของตลาดหลักทรัพย์ไทย พบว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่จดทะเบียนมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ที่ล้วนเป็นผู้ผลิตสินค้าในแบรนด์ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เช่น บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติอเมริกันเจ้าของแบรนด์ “Good Year” ที่รู้จักกันทั่วโลก บริษัทรองเท้าบาจาแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตรองเท้ายี่ห้อ “บาจา” ที่หากย้อนหลังไปประมาณ 30 ปีที่แล้ว เป็นผู้ครองตลาดรองเท้านักเรียน จนปัจจุบันนี้ ได้ปรับปรุงให้มีรองเท้าในรูปแบบที่หลากหลายและมีคุณภาพ พบเห็นร้านค้าได้ทั่วไปในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ บริษัทอุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าของพรม “ไทปิง” บริษัทยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งสาลีรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และบริษัทเสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่าย “เป็ปซี่” ในไทย รวมถึงผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องคือ บริษัทฝาจีบ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ผลิตฝาปิดผนึกขวดรายใหญ่ให้กับเครื่องดื่มหลายยี่ห้อในประเทศ
นอกจากบริษัทเจ้าของแบรนด์ดังข้างต้น กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ให้ความสนใจเข้าจดทะเบียนกันมาช้านาน ได้แก่ เครือสหพัฒน์ ที่นำบริษัทในเครือถึง 6 แห่งเข้าจดทะเบียนมานานกว่า 30 ปี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทนิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน) บริษัทสหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของ “มาม่า” เจ้าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บริษัทบางกอกไนล่อน จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นชั้นนำ นอกจากเครือสหพัฒน์แล้ว ยังมีเครือสหยูเนี่ยน ผู้ผลิตสิ่งทอและเครื่องใช้ในครัวเรือนชั้นนำของประเทศ ที่ทะยอยนำ 3 บริษัทในเครือ คือ บริษัทสหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) บริษัทยูเนี่ยนพลาสติก จำกัด (มหาชน) และบริษัทยูเนี่ยนไพโอเนียร์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของเครื่องตัดเย็บคุณภาพตรา VINUS เข้าจดทะเบียนในช่วงปี 2518 - 2521
พร้อมกับการเติบโตของระบบการเงินไทย สถาบันการเงินจำนวนมากได้เข้าจดทะเบียนเพื่อใช้เป็นช่องทางระดมทุนตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งนอกเหนือจากธนาคารกรุงเทพและบริษัททุนธนชาตที่เข้าซื้อขายตั้งแต่วันแรกแล้ว ยังมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารแห่งแรกของประเทศ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ริเริ่มนำระบบ Reengineering มาใช้ในภาคธนาคาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันเป็นพันธมิตรกับจีอีกลุ่มธุรกิจการเงินระดับโลก รวมถึงธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) ที่ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเติบโตจากการเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ทั้งนี้ยังมีบริษัทประกันภัยชั้นนำของประเทศ เช่น บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทประกันภัยแห่งแรกของคนไทย และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่เข้าจดทะเบียนมายาวนานกว่า 30 ปี
ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีส่วนสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าขั้นกลางในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคแรกของตลาดทุนไทย อาทิ บริษัท จรุงไทยไวร์แอนด์เคเบิ้ล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ลเพื่อการสื่อสารคมนาคมซึ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น บริษัท ไวท์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ให้แก่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น ปิโตรเคมี อาหาร พลาสติก เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการผลิตให้กับบริษัทเหล่านั้นให้สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงบริษัท เอเซียไฟเบอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ไนล่อนเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมทอผ้า
จวบจนวันนี้ เกือบทุกบริษัทได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนในการระดมทุนทั้งโดยการออกตราสารหนี้และตราสารทุนเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทหรือประมาณ 1 ใน 4 ของมูลค่าระดมทุนทั้งหมด หลายบริษัทได้ควบรวมกิจการและหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทปูนซิเมนต์นครหลวง ที่ปัจจุบันเป็นบริษัทผลิตปูนรายใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศภายใต้ตราสินค้า “อินทรี” และบริษัท ซิโน-ไทย รีซอร์เซส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ปรับเปลี่ยนธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกมาเป็นผู้ค้าน้ำมันสำเร็จรูปในปัจจุบัน ขณะที่หลายบริษัทได้ใช้ความมีชื่อเสียงและเชื่อถือได้จากการเป็นบริษัทจดทะเบียนขยายธุรกิจได้ไกลยิ่งขึ้น
เหล่านี้คือบริษัท 32 แห่ง ที่ร่วมเดินทางกับตลาดหลักทรัพย์ไทยมายาวนานกว่า 30 ปี และจะร่วมฉลองกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในงาน Celebrating 30+ years as a Listed Company ในวันที่ 30 เมษายนนี้ ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมก้าวไปข้างหน้า เติบโตเคียงคู่ตลาดทุนไทยต่อไป