ดัชนี”มาม่า” ชี้วัดเศรษฐกิจไทย- กำลังซื้อปี 52 วิกฤต กว่าปี 40 ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอาหารราคาประหยัด 6 บาท เทียบเดือนต่อเดือน ระบุ ก.พ.ติดลบ 15% ขณะที่ตัวเลขรวม 12 เดือน ติดลบ 4.5% ครั้งแรกในรอบ 38 ปี ชูนโยบายบะหมี่ฯ ช่วยชาติ ขนาด 55 กรัม 5บาท อุ้มรากหญ้า-กลุ่มกำลังซื้อน้อย อัดโปรโมชันสแตมป์มาม่า ซื้อ 8 แถม 1 รับมือตลาดดัมป์ราคาเดือด ลดงบการตลาด 50% เหลือ 120 ล้านบาท สิ้นปีปรับเป้าโตจาก 9% เป็น 5% จากรายได้ 7,000 ล้านบาทปีที่ผ่านมา
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์มาม่า เปิดเผยว่า จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ติดลบ 15% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมา และส่งผลให้ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วง 1 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2551- 2552 ติดลบ 4.5% จากมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท และในเชิงปริมาณลดลง 2% นับว่าตลาดติดลบมากที่สุดครั้งแรกในรอบ 38 ปี หรือตั้งแต่บริษัทดำเนินธุรกิจ และคาดว่าปีนี้ตลาดเติบโตได้ 2% หรือไม่มีการเติบโต
สภาพตลาดบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมากระทั่งปีนี้ เป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ตกต่ำมากเมื่อเทียบกับปี 2540 เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้ เป็นกลุ่มรากหญ้าหรือรายได้น้อย ขณะที่ด้านการส่งออกปีนี้และการค้าขายภายในประเทศก็ประสบปัญหาพร้อมกัน เพราะต่างประเทศและคนในประเทศประสบปัญหาด้านการเงิน เมื่อเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ แต่รากหญ้าไม่มีผลกระทบ ส่วนประเทศที่ได้รับผลกระทบมีเพียง ไทย อินโดนีเซีย เกาหลี และยังได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้การส่งออกฟื้นตัวเร็ว
“วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเงินไม่มากนัก สิ่งที่ภาครัฐควรเร่งทำ คือ การสร้างงาน ส่วนการแจกเช็ค 2,000 บาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ถือว่าเป็นกระตุ้นการหมุนเวียนเม็ดเงินสู่ภาคธุรกิจอีกทางหนึ่ง แต่อยากให้ภาครัฐเข้มงวดหรือตรวจสอบการใช้งบด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ เพราะท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่ดี เกรงว่าจะมีปัญหาคอรัปชั่น งบที่ลงทุนไปจะไม่ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง”
***ปั้นบะหมึ่ฯประหยัด5บ.ช่วยชาติ***
นายพิพัฒ กล่าวว่า ดัชนีมาม่า ยังเป็นตัวชี้วัดถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ไม่ค่อยดีมากนัก แม้กระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาเพียง 6บาท ยังเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้ปรับเป้าผลประกอบการที่คาดว่า เติบโต 9% เป็นเหลือ 5% จากปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 7,000 ล้านบาท ส่วนแนวทางการตลาดบริษัทได้เปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไฟท์ติ้งแบรนด์”มาม่า”ขนาด 55 กรัม ราคา 5 บาท จากปกติ 55 กรัม ราคา 6 บาท ทั้งนี้ช่วยกลุ่มรากหญ้าหรือผู้ที่มีกำลังการซื้อน้อยในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอย
หลังจากต้นปี 2551 ได้ขึ้นราคาบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปจาก 5 บาท เป็น 6 บาท ดังนั้นการออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 5 บาท เป็นนโยบายของบริษัทที่ต้องการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนหรือผู้ที่มีรายได้น้อย การร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในโครงการธงฟ้าหรือบูลชอป มีขั้นตอนการดำเนินงานช้า ในขณะที่บริษัทสามารถดำเนินการและตัดสินใจได้ทันที อีกทั้งปีนี้ต้นทุนวัตถุดิบมีราคาลดลง และบริษัทยังลดต้นทุนแพกเกจจิ้ง จึงสามารถผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคา 5 บาทออกมา แต่เมื่อเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้นทุนปัจจุบันยังสูงถึง 20%
สำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาประหยัด 5 บาท นำร่องนำ 2 รสชาติดั้งเดิม ได้แก่ ซุปไก่ และโปรตีนไข่ หลังจากก่อนหน้านี้ทั้งสองรสชาติหยุดทำตลาด แต่นำกลับมารีลอนซ์ใหม่ โดยซุปไก่หยุดทำตลาดไปกว่า 10 ปี และโปรตีนไข่กว่า 20 ปี เริ่มวางจำหน่ายผ่านช่องทางเทรดิชันนัลเทรดก่อนในเดือนมีนาคม นี้ และเข้าช่องทางโมเดิร์นเทรดเดือนเมษายน โดยบริษัทไม่ได้คาดหวังกำไรแต่ต้องการเป็นสินค้าที่เคียงคู่กับสังคมไทย ช่วยเหลือคนไทย อย่างไรก็ตามหลังจากวางตลาดคาดว่ามีส่วนแบ่ง 3% จากตลาดรวม
***วิกฤตตลาดแข่งหั่นราคา3บ.ต่อซอง**
สำหรับปีนี้บริษัทหั่นงบการตลาดกว่า 50% จาก 300-400 ล้านบาท เหลือเป็น 120 ล้านบาท มุ่งเน้นจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อรองรับกับสถานการณ์ตลาดบะหมึ่กึ่งสำเร็จแข่งขันกลยุทธ์ราคาในช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ชนิดแพก 10 ซอง ลดราคาจากกว่า 50 บาท เหลือ 38- 40 บาท โดยเฉลี่ยราคากว่า 3 บาทต่อซอง บริษัทจึงได้เตรียมจัดโปรโมชันบะหมึ่กี่งสำเร็จรูป 5 บาท ขนาดแพก 10 ซอง ราคา 42-45 บาท หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้จัดโปรโมชันชนิด 6 บาท แพก 10 ซอง ราคา 51 บาท จากปกติ 57 บาท ส่งผลให้ยอดขายโต 12%
พร้อมกันนี้ได้เตรียมจัดรายการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสแตมป์มาม่า”มาม่า 38 ปี คู่สังคมไทย” ทุกรสชาติเมื่อซื้อ 8 ซอง แถม 1 ซอง เริ่มเดือนวันที่ 26 เมษายน – 26 มิถุนายน นี้ ทุกช่องทาง และยังสินค้าร่วมรายการเช็ค 2,000 บาทจากทางภาครัฐ โดยการจัดรายการส่งเสริมการขายผ่านทางร้านค้าสะดวกซื้อ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่องทางที่เติบโตสูงถึง 9.4% เมื่อเทียบกับช่องทางเทรดิชันนัลเทรดติดลบ 9.7% และโมเดิร์นเทรดติดลบ 2.6%
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบรนด์มาม่า เปิดเผยว่า จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ติดลบ 15% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมา และส่งผลให้ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วง 1 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2551- 2552 ติดลบ 4.5% จากมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท และในเชิงปริมาณลดลง 2% นับว่าตลาดติดลบมากที่สุดครั้งแรกในรอบ 38 ปี หรือตั้งแต่บริษัทดำเนินธุรกิจ และคาดว่าปีนี้ตลาดเติบโตได้ 2% หรือไม่มีการเติบโต
สภาพตลาดบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมากระทั่งปีนี้ เป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ตกต่ำมากเมื่อเทียบกับปี 2540 เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้ เป็นกลุ่มรากหญ้าหรือรายได้น้อย ขณะที่ด้านการส่งออกปีนี้และการค้าขายภายในประเทศก็ประสบปัญหาพร้อมกัน เพราะต่างประเทศและคนในประเทศประสบปัญหาด้านการเงิน เมื่อเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ แต่รากหญ้าไม่มีผลกระทบ ส่วนประเทศที่ได้รับผลกระทบมีเพียง ไทย อินโดนีเซีย เกาหลี และยังได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้การส่งออกฟื้นตัวเร็ว
“วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเงินไม่มากนัก สิ่งที่ภาครัฐควรเร่งทำ คือ การสร้างงาน ส่วนการแจกเช็ค 2,000 บาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ถือว่าเป็นกระตุ้นการหมุนเวียนเม็ดเงินสู่ภาคธุรกิจอีกทางหนึ่ง แต่อยากให้ภาครัฐเข้มงวดหรือตรวจสอบการใช้งบด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ เพราะท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่ดี เกรงว่าจะมีปัญหาคอรัปชั่น งบที่ลงทุนไปจะไม่ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง”
***ปั้นบะหมึ่ฯประหยัด5บ.ช่วยชาติ***
นายพิพัฒ กล่าวว่า ดัชนีมาม่า ยังเป็นตัวชี้วัดถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ไม่ค่อยดีมากนัก แม้กระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาเพียง 6บาท ยังเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้ปรับเป้าผลประกอบการที่คาดว่า เติบโต 9% เป็นเหลือ 5% จากปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 7,000 ล้านบาท ส่วนแนวทางการตลาดบริษัทได้เปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไฟท์ติ้งแบรนด์”มาม่า”ขนาด 55 กรัม ราคา 5 บาท จากปกติ 55 กรัม ราคา 6 บาท ทั้งนี้ช่วยกลุ่มรากหญ้าหรือผู้ที่มีกำลังการซื้อน้อยในท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ถดถอย
หลังจากต้นปี 2551 ได้ขึ้นราคาบะหมึ่กึ่งสำเร็จรูปจาก 5 บาท เป็น 6 บาท ดังนั้นการออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 5 บาท เป็นนโยบายของบริษัทที่ต้องการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนหรือผู้ที่มีรายได้น้อย การร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในโครงการธงฟ้าหรือบูลชอป มีขั้นตอนการดำเนินงานช้า ในขณะที่บริษัทสามารถดำเนินการและตัดสินใจได้ทันที อีกทั้งปีนี้ต้นทุนวัตถุดิบมีราคาลดลง และบริษัทยังลดต้นทุนแพกเกจจิ้ง จึงสามารถผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคา 5 บาทออกมา แต่เมื่อเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้นทุนปัจจุบันยังสูงถึง 20%
สำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาประหยัด 5 บาท นำร่องนำ 2 รสชาติดั้งเดิม ได้แก่ ซุปไก่ และโปรตีนไข่ หลังจากก่อนหน้านี้ทั้งสองรสชาติหยุดทำตลาด แต่นำกลับมารีลอนซ์ใหม่ โดยซุปไก่หยุดทำตลาดไปกว่า 10 ปี และโปรตีนไข่กว่า 20 ปี เริ่มวางจำหน่ายผ่านช่องทางเทรดิชันนัลเทรดก่อนในเดือนมีนาคม นี้ และเข้าช่องทางโมเดิร์นเทรดเดือนเมษายน โดยบริษัทไม่ได้คาดหวังกำไรแต่ต้องการเป็นสินค้าที่เคียงคู่กับสังคมไทย ช่วยเหลือคนไทย อย่างไรก็ตามหลังจากวางตลาดคาดว่ามีส่วนแบ่ง 3% จากตลาดรวม
***วิกฤตตลาดแข่งหั่นราคา3บ.ต่อซอง**
สำหรับปีนี้บริษัทหั่นงบการตลาดกว่า 50% จาก 300-400 ล้านบาท เหลือเป็น 120 ล้านบาท มุ่งเน้นจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อรองรับกับสถานการณ์ตลาดบะหมึ่กึ่งสำเร็จแข่งขันกลยุทธ์ราคาในช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ชนิดแพก 10 ซอง ลดราคาจากกว่า 50 บาท เหลือ 38- 40 บาท โดยเฉลี่ยราคากว่า 3 บาทต่อซอง บริษัทจึงได้เตรียมจัดโปรโมชันบะหมึ่กี่งสำเร็จรูป 5 บาท ขนาดแพก 10 ซอง ราคา 42-45 บาท หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้จัดโปรโมชันชนิด 6 บาท แพก 10 ซอง ราคา 51 บาท จากปกติ 57 บาท ส่งผลให้ยอดขายโต 12%
พร้อมกันนี้ได้เตรียมจัดรายการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสแตมป์มาม่า”มาม่า 38 ปี คู่สังคมไทย” ทุกรสชาติเมื่อซื้อ 8 ซอง แถม 1 ซอง เริ่มเดือนวันที่ 26 เมษายน – 26 มิถุนายน นี้ ทุกช่องทาง และยังสินค้าร่วมรายการเช็ค 2,000 บาทจากทางภาครัฐ โดยการจัดรายการส่งเสริมการขายผ่านทางร้านค้าสะดวกซื้อ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่องทางที่เติบโตสูงถึง 9.4% เมื่อเทียบกับช่องทางเทรดิชันนัลเทรดติดลบ 9.7% และโมเดิร์นเทรดติดลบ 2.6%
