xs
xsm
sm
md
lg

“อุ๊” ช่อผกา วิริยานนท์ ประสบการณ์สอนให้รู้ค่าของเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อุ๊” ช่อผกา วิริยานนท์
คอลัมน์ เจาะพอร์ตคนดัง

อาจจะมีบางคนมองว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่เงินก็สามารถช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายได้ในช่วงชีวิตหลังการเกษียณ โดยไม่ต้องทำงาน หรือบางคนบอกว่าเราไม่เห็นจะต้องเตรียมตัวเลย เพราะถึงอย่างไรลูก ๆ ก็มีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูเราอยู่แล้ว

แต่อย่าลืมว่าสังคมในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ลูก ๆของคุณแต่ละคน ก็อาจจะมีครอบครัวของตนเองที่จะต้องดูแล เคยได้ยินไหมว่า “พ่อแม่เลี้ยงลูก 10 คนได้ แต่ลูก 10 คนเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้” ดังนั้น ถ้าท่านอยากใช้ชีวิตอันแสนสุขอย่างที่คาดหวังไว้ ก็ควรที่จะเตรียมพร้อมด้วยตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้น่าจะเป็นการดีที่สุด

เอาละ!!!เราได้เกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว “คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง” ฉบับนี้ขอพามาสัมผัสสาวรุ่นใหญ่ที่มากด้วยความสามารถอย่าง “อุ๊ – ช่อผกา วิริยานนท์” ที่ห่างหายจากหน้าจอทีวีไปพอสมควร ซึ่งมาในวันนี้เธอจะมาเผยถึงเคล็ดลับในการออมเงิน และจะมาบอกกล่าวด้วยว่าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่บ้าง....

อุ๊ บอกว่า หลายคนอาจจะส่งสัยว่าตนเองนั้นห่างหายจากวงการบันเทิงนั้นไปทำอะไรอยู่บ้าง ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ พลัส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเรามีหุ้นอยู่ในบริษัทนี้ด้วยนิดหน่อย โดยเป็นของกลุ่มทุนร่วมกัน และกำลังจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเร็ว ๆ นี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอในปีนี้

สำหรับตำแหน่งนี้ได้ดำรงมากว่า 2 ปีแล้ว โดยธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจสื่อ ที่มีทั้งรายการโทรทัศน์และรายการวิทยุ สำหรับรายการทางทีวีที่ออกอากาศอยู่ในขณะนี้มีที่ช่อง 9 โดยเป็นพิธีกรรายการ “รายทาง” ส่วนรายการวิทยุก็มีตามต่างจังหวัดที่เราเป็นเจ้าของสัมปทานและบริหารเองทั้งหมด 20 คลื่น นอกจากนี้แล้วบริษัทยังรับทำประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ อีกด้วย

อุ๊บอกต่อว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้ในส่วนของบริษัทต้องมีการประหยัดงบกันมากขึ้น เพราะจะเห็นได้ว่าประชาชนมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่งผลให้ส่วนของโฆษณาก็กระทบกระเทือนบ้างแต่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม การบริหารบริษัทเราก็ไม่ประมาท โดยในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่แล้วบริษัทได้มีการปรับแผนการดำเนินงานโดยไม่มีการขยายงานมากเกินไป ส่วนด้านบุคลากรของบริษัทไม่ได้ได้ได้มีการปรับลดพนักงานแต่อย่างใด ฉะนั้นทุกคนก็ยังมีงานทำกันอย่างปกติ แต่สิ่งที่เน้นคือ “รอบคอบ ควบคุมต้นทุน และพัฒนาคุณภาพงาน” โดยเน้นบริการมากขึ้น

ส่วนการใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัวนั้น "อุ๊" บอกว่า “ก็ต้องยอมรับว่าชอปปิ้งน้อยลง ตอนนี้ก็ดูแต่เฉพาะที่ลดราคาก็จะเข้าไปซื้อมากกว่า แต่ซื้อทีก็หลายตัวอยู่เหมือนกัน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย แต่ด้วยหน้าที่การงานที่เราต้องทำตรงนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างหนึ่ง แต่ในส่วนที่เป็นของใหญ่ ๆ เช่น รถ เราก็ยังไม่เปลี่ยนก็ยังใช้คันเดิมต่อไป จนมองว่าทิศทางเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้นถึงจะมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนรถใหม่”

สำหรับเรื่องการปลูกฝั่งใช้จ่ายในช่วงตอนเด็ก ๆ นั้น อุ๊บอกว่า คุณพ่อคุณแม่จะให้เงินเป็นวันๆ ให้เราบริหารรายได้เอง จนกระทั่งโตขึ้นช่วงอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราต้องดูแลตัวเองก็เป็นครั้งแรกที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าจะสามารถดูแลตัวเองได้ไหม ซึ่งมันก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าช่วงแรก ๆ จะบริหารตัวเองไม่ได้ เงินที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งให้ในแต่ละเดือนจะหมดก่อนกำหนดทุกครั้งไป แต่คุณพ่อคุณแม่ก็โหดมากโดยจะไม่ให้เพิ่มอีก ทำให้เราต้องมีกลยุทธที่จะต้องหาวิธีทางเพื่อที่จะอยู่ให้ได้ใน 1 เดือน ด้วยการรวมเงินกับเพื่อนที่พักอยู่ด้วยกันประมาณ 3 – 4 คน มาลงขันเหมือนเป็นสหกรณ์เพื่อที่จะให้สามารถอยู่ต่อได้ให้ครบเดือน

“เรายังพบว่าอาหารถูก ๆ ยังมีอยู่เยอะมากซึ่งสมัยก่อนกับข้าวถุงละ 3 บาท ข้าว 1 บาทเท่านั้นเอง ก็กินกัน 3 -4 คน ก็ซื้อกับข้าว 2 อย่างก็พอ ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของเงินขึ้นมาได้ และมันสอนให้เรารู้ว่าถ้าเราอยู่อย่างจนไม่ต้องกินอะไรที่หรูหราเราก็สามารถอยู่ได้ ซึ่งเราต้องเปลี่ยนความเคยชิน แต่ยอมรับว่ามันก็ทรมานเหมือนกันเพราะมันต้องเปลี่ยนจากความคุ้นเคยที่เราเคยกินมาก่อนหน้านี้ แต่พอเราผ่าน 10 วันนั้นไป เราก็สำนึกและระมัดระวังเรื่องของการใช้จ่ายมากขึ้น” อุ๊ บอก

อุ๊ เล่าให้ฟังต่อว่า ในช่วงอายุ 12 ปี ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีรายได้เป็นของตัวเองจากการที่เป็นตัวแทนงานโรงเรียน ซึ่งจำได้ว่าตอนนั้นได้มาประมาณ 300 บาท ในขณะนั้นรู้สึกว่ามันเยอะมาก และก็รู้สึกดีใจ แต่อย่างไรก็ตามรายได้ที่ได้เป็นกอบเป็นกำจะหาได้ในช่วงตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ปี 2 ด้วยการไปเดินแบบตามร้านเสื้อผ้าที่ จังหวัดเชียงใหม่ที่มีจัดแฟชั่นโชว์กัน นอกจากนี้ก็รับทำสปอร์ตวิทยุด้วย เพราะเรียนมาทางด้านสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว นอกจากนี้แล้วยังรับจ๊อบด้วยการไปร้องเพลงตามโรงแรมห้าดาวในตัวจังหวัดเชียงใหม่ รายได้เฉลี่ยตกอยู่เดือนละประมาณ 10,000 บาท

จากการทำงานในหลาย ๆ ด้านที่ทำให้ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้อุ๊ บอกว่า โดยอุ๊ถือคติที่ว่า “เลือกทำในสิ่งที่เรารัก ถ้าเราสามารถเลือกได้ ก็จงตั้งใจทำ แต่ถ้าเลือกไม่ได้ให้รักในสิ่งที่ทำ เพราะความรักเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ถ้าเราไม่รักในงานที่เราทำงานที่อยู่ตรงหน้าหรือข้างหน้าก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้”

อุ๊ ฝากทิ้งท้ายด้วยการแก้ไขปัญหาว่า ถ้าเป็นปัญหาเรื่องงานจะแก้ได้ง่ายกว่าส่วนตัว เพราะว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์หวั่นไหวพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องงานเราไม่ค่อยเอาอารมณ์เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยจะใช้หลักหลักอริยสัจ 4 เข้ามาช่วย ว่าปัญหาคืออะไร และหาเหตุของมัน ถ้าเห็นเหตุของมันก็จะรู้วิธีแก้ และมันจะมีหลายวิธีมากมายให้เราเลือกให้เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นั้นด้วย

ส่วนในเรื่องปัญหาส่วนตัวกับเพื่อนหรือกับคนในครอบครัวเราจะเลือกแก้ไขด้วยการปีกวิเวก เพื่อทำใจให้สงบก่อนที่จะกลับเข้าไปเจรจาเพื่อแก้ไข เพราะเราได้รับประสบการณ์จากในช่วงสมัยก่อนที่เรามักจะชอบเคลียร์ปัญหาทันทีจะรู้ว่ายิ่งเคลียร์มันยิ่งพัง ซึ่งในตอนนั้นเราคิดว่าเราไม่ได้ใช้อารมณ์แต่จริง ๆ แล้วแต่ในตอนนั้นเราคงใช้อารมณ์ ดังนั้นเราควรที่จะถอยออกมาและทำให้ตัวเองสงบก่อนเราจะเห็นทางออกใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น

//////////////////////////////
ชื่อ – นามสกุล ช่อผกา วิริยานนท์ (อุ๊)
วันเดือนปีเกิด 11 พฤศจิกายน 2509
การศึกษา ปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาตรี คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นิสิต ปริญญาโท รุ่น 1 หลักสูตรพุทธศาสนาและศิลปะการใช้ชีวิต
มหาวิทยาลัยสาวิกาสิกขาลัย
งานปัจจุบัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ พลัส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด
พิธีกรรายการ “รายทาง” ช่อง 9
ผู้ดำเนินรายการวิทยุ “สาวิกา” (ธรรมะทอล์ก)

กำลังโหลดความคิดเห็น