บลจ. ธนชาต เป็นปลื้ม ลูกค้าแห่เข้ามาลงทุนกองทุน "T - CASH" หนีดอกเบี้ยต่ำ ล่าสุดเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 5,000 ล้านบาทเป็น 45,000 ล้านบาท ชี้เป็นแหล่งพักเงินให้ผลตอบแทนสูง ส่วนผลตอบแทนล่าสุด ย้อนหลัง 3 เดือนยังสูงอยู่ที่ 2.04%
นางสุชาดา ภวนานันท์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน หรือ T - CASH กำลังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกองทุนดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากในธนาคาร อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสามารถฝากถอนได้ทุกวัน รวมถึงยังมีความปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากว่ากองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการขอจดทะเบียนเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมมีจำนวนเงินลงทุนอยู่ 40,000 ล้านบาท รวมเป็น 45,000 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับการจดทะเบียนเพิ่มเงินทุนดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา
ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องมีการเพิ่มทุนอีกคร้ง เนื่องจากว่ากองทุน T - CASH มีมูลค่าทรัพย์สินหรือเอ็นเอวี เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากกองทุนดังกล่าวได้ขายกองทุนผ่านธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นแบงก์แม่ ทำให้นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของแบงก์อยู่ก่อนหน้าที่ทำการซื้อขายได้อย่างสะดวกมากขึ้น
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามูลค่าทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดกองทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ได้ตั้งเป้าไว้ตลอดทั้งปี 100,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้แค่ช่วงไตรมาสแรกเพียงไตรมาสเดียวสามารถเพิ่มยอดเอยูเอ็มได้กว่า 90,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งยอดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนเปิดธนชาตบริหารเงินเป็นจำนวนมาก
สำหรับกองทุนเปิด T-CASH ณ วันที่ 8 เมษายน 2552 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือเอ็นเอวีอยู่ที่ 40,842.82 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.29 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกันกองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.04% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.84% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.57% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.29% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.76% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.61% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 3.67% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 2.30% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.59% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 2.25%
ขณะที่สัดส่วนการลงทุน ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 แบ่งออกเป็น พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 48.06% , พันธบัตรรัฐบาล ที่ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง 11.68% , หุ้นกู้ภาคเอกชน 0.56% , หุ้นกู้สถาบันการเงิน 0.25% , ตั๋วแลกเงิน 28.53% , ตั๋วสัญญาใช้เงิน 8.65% ส่วนผู้ออกหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน 5 อันดับแรกประกอบด้วย 1. ธนาคารแห่งประเทศไทย 42.06% 2. กระทรวงการคลัง 11.68% 3. บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 0.45% 4. ธนาคารกรุงไทย 0.25% 5. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) 0.11%
ทั้งนี้กองทุนเปิด T-CASH เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ ธุรกรรมทางการเงิน หรือตราสารทางการเงินอื่นใด ที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลงทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตอบแทนและตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร โดยการลงทุนดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
นางสุชาดา ภวนานันท์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน หรือ T - CASH กำลังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกองทุนดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากในธนาคาร อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสามารถฝากถอนได้ทุกวัน รวมถึงยังมีความปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากว่ากองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการขอจดทะเบียนเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมมีจำนวนเงินลงทุนอยู่ 40,000 ล้านบาท รวมเป็น 45,000 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับการจดทะเบียนเพิ่มเงินทุนดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา
ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องมีการเพิ่มทุนอีกคร้ง เนื่องจากว่ากองทุน T - CASH มีมูลค่าทรัพย์สินหรือเอ็นเอวี เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากกองทุนดังกล่าวได้ขายกองทุนผ่านธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นแบงก์แม่ ทำให้นักลงทุนที่เป็นลูกค้าของแบงก์อยู่ก่อนหน้าที่ทำการซื้อขายได้อย่างสะดวกมากขึ้น
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามูลค่าทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดกองทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ได้ตั้งเป้าไว้ตลอดทั้งปี 100,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้แค่ช่วงไตรมาสแรกเพียงไตรมาสเดียวสามารถเพิ่มยอดเอยูเอ็มได้กว่า 90,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งยอดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนเปิดธนชาตบริหารเงินเป็นจำนวนมาก
สำหรับกองทุนเปิด T-CASH ณ วันที่ 8 เมษายน 2552 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือเอ็นเอวีอยู่ที่ 40,842.82 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.29 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกันกองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.04% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 0.84% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.57% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.29% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.76% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 1.61% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 3.67% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 2.30% และผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.59% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 2.25%
ขณะที่สัดส่วนการลงทุน ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 แบ่งออกเป็น พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 48.06% , พันธบัตรรัฐบาล ที่ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง 11.68% , หุ้นกู้ภาคเอกชน 0.56% , หุ้นกู้สถาบันการเงิน 0.25% , ตั๋วแลกเงิน 28.53% , ตั๋วสัญญาใช้เงิน 8.65% ส่วนผู้ออกหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน 5 อันดับแรกประกอบด้วย 1. ธนาคารแห่งประเทศไทย 42.06% 2. กระทรวงการคลัง 11.68% 3. บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 0.45% 4. ธนาคารกรุงไทย 0.25% 5. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) 0.11%
ทั้งนี้กองทุนเปิด T-CASH เน้นลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ ธุรกรรมทางการเงิน หรือตราสารทางการเงินอื่นใด ที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนหรือมีอายุสัญญาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลงทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตอบแทนและตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร โดยการลงทุนดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด