คอลัมน์ Desire your Live by mutual Fund
โดย ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ จำกัด
หนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุน นอกจากทองคำซึ่งเวลานี้กำลังทำ New High อยู่นั้น ก็คงหนีไม่พ้น “น้ำมันดิบ” หรือที่บางท่านเรียกว่า “ทองคำสีดำ (Black Gold)” เนื่องจากว่าในอดีตที่ผ่านมาน้ำมันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก เรียกได้ว่าใครที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน ก็เหมือนนั่งทับเหมืองทองคำเอาไว้นั่นเอง
ในปี 2008 ที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานจากระดับราคาประมาณ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล ในตอนต้นปี เป็น 140 เหรียญต่อบาร์เรลในตอนกลางปี หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น กว่า 100% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดวิกฤติทางการเงินในอเมริกาและยุโรปในตอนไตรมาสที่ 3 ของปี 2008 จนทำให้หลายภูมิภาคของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอย ราคาน้ำมันได้ดำดิ่งลงมาต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ที่ผ่านมา
จึงมีคำถามว่า ที่ราคาน้ำมันระดับนี้น่าสนใจลงทุนแล้วหรือยัง และเมื่อไรราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก ท่ามกลางความหวาดวิตกของการชะลอตัวของเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
แต่ก่อนจะตอบคำถามข้างต้น ผมขอเรียนให้ผู้ลงทุนทราบก่อนว่าอะไรที่เป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ซึ่งสามารถสรุปได้ 3 ปัจจัยดังนี้ 1. ปัจจัยพื้นฐาน เรื่องของ อุปทาน อุปสงค์ และ ระดับน้ำมันสำรอง 2.การเก็งกำไรของผู้ลงทุน รวมทั้งกองทุนต่างๆ 3.ความเสี่ยงจากสงคราม
จากทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้น คาดว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันการที่ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ น่าจะมาจากปัจจัยที่ 1 มากที่สุด ซึ่งในขาการผลิตหรืออุปทาน (supply) นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดที่สามารถกำหนดอุปทานของน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ กลุ่มโอเปค และมีต้นทุนการผลิตน้ำมันค่อนข้างสูงกว่าประเทศนอกกลุ่มโอเปค เริ่มประกาศที่จะลดกำลังการผลิตลงเหลือต่ำกว่า 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคาดว่าด้านอุปทานจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2009
กลับกันด้านการบริโภคน้ำมันนั้น จริงอยู่ว่าการที่จีนและหลายประเทศทั่วโลกลดการบริโภคน้ำมันมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่าปี 2010 นั้นเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ จีนและเอเชียจะกลับมา เติบโตได้ในระดับสูงกว่าปี 2009 มาก ซึ่งนั่นหมายความความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มกระเตื้องขึ้น ซึ่งแม้ว่าการเพิ่มของอุปlสงค์จะยังไม่รวดเร็วมากแต่หากอุปทานชะลอตามที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้น ปริมาณน้ำมันสำรองที่ลดต่ำลงก็ย่อมทำให้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นได้
ดังนั้นการที่ราคาน้ำมันหล่นจากจุดสูงสุดที่ 140 เหรียญต่อบาร์เรลลงมาอยู่ที่ 40 เหรียญต่อบาร์เรลโดยประมาณ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากว่า 71% ประกอบกับเชื่อว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันคงต้องการลดการผลิตหากราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มต่ำกว่าต้นทุนในการผลิตอย่างแน่นอน ก็ต้องตอบว่าที่ราคาน้ำมัน ณ ระดับประมาณนี้ก็น่าสนใจลงทุนเหมือนกัน
ส่วนท่านที่สนใจจะลงทุนในน้ำมันดิบในตลาดโลก ก็มีทางเลือกที่น่าสนใจเอาไว้ให้ คือ ลงทุนในน้ำมันกองทุนน้ำมันได้ทุกวันทำการ ซึ่งค่อนข้างสะดวกสบายและ น่าจะมีส่วนช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนไม่มากก็น้อย เพราะกองทุนนี้ไม่ซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นใดจึงมองหรือคาดการณ์กันได้ไม่ยากด้วยเหตุและผลที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ “กองทุนรวม”ยังเป็นทางเลือกลงทุนที่ดีที่สุด จริงหรือ? พบคำตอบได้ที่ งานสัมมนา “หุ้นตก ดอกต่ำ รับมือด้วย...กองทุนรวม” ในวันเสาร์ที่ 7 มี.ค 52 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดา (ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น)
โดย ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ จำกัด
หนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุน นอกจากทองคำซึ่งเวลานี้กำลังทำ New High อยู่นั้น ก็คงหนีไม่พ้น “น้ำมันดิบ” หรือที่บางท่านเรียกว่า “ทองคำสีดำ (Black Gold)” เนื่องจากว่าในอดีตที่ผ่านมาน้ำมันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก เรียกได้ว่าใครที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน ก็เหมือนนั่งทับเหมืองทองคำเอาไว้นั่นเอง
ในปี 2008 ที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานจากระดับราคาประมาณ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล ในตอนต้นปี เป็น 140 เหรียญต่อบาร์เรลในตอนกลางปี หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น กว่า 100% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดวิกฤติทางการเงินในอเมริกาและยุโรปในตอนไตรมาสที่ 3 ของปี 2008 จนทำให้หลายภูมิภาคของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอย ราคาน้ำมันได้ดำดิ่งลงมาต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ที่ผ่านมา
จึงมีคำถามว่า ที่ราคาน้ำมันระดับนี้น่าสนใจลงทุนแล้วหรือยัง และเมื่อไรราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก ท่ามกลางความหวาดวิตกของการชะลอตัวของเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
แต่ก่อนจะตอบคำถามข้างต้น ผมขอเรียนให้ผู้ลงทุนทราบก่อนว่าอะไรที่เป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ซึ่งสามารถสรุปได้ 3 ปัจจัยดังนี้ 1. ปัจจัยพื้นฐาน เรื่องของ อุปทาน อุปสงค์ และ ระดับน้ำมันสำรอง 2.การเก็งกำไรของผู้ลงทุน รวมทั้งกองทุนต่างๆ 3.ความเสี่ยงจากสงคราม
จากทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้น คาดว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันการที่ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ น่าจะมาจากปัจจัยที่ 1 มากที่สุด ซึ่งในขาการผลิตหรืออุปทาน (supply) นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดที่สามารถกำหนดอุปทานของน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ กลุ่มโอเปค และมีต้นทุนการผลิตน้ำมันค่อนข้างสูงกว่าประเทศนอกกลุ่มโอเปค เริ่มประกาศที่จะลดกำลังการผลิตลงเหลือต่ำกว่า 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคาดว่าด้านอุปทานจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2009
กลับกันด้านการบริโภคน้ำมันนั้น จริงอยู่ว่าการที่จีนและหลายประเทศทั่วโลกลดการบริโภคน้ำมันมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่าปี 2010 นั้นเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ จีนและเอเชียจะกลับมา เติบโตได้ในระดับสูงกว่าปี 2009 มาก ซึ่งนั่นหมายความความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มกระเตื้องขึ้น ซึ่งแม้ว่าการเพิ่มของอุปlสงค์จะยังไม่รวดเร็วมากแต่หากอุปทานชะลอตามที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้น ปริมาณน้ำมันสำรองที่ลดต่ำลงก็ย่อมทำให้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นได้
ดังนั้นการที่ราคาน้ำมันหล่นจากจุดสูงสุดที่ 140 เหรียญต่อบาร์เรลลงมาอยู่ที่ 40 เหรียญต่อบาร์เรลโดยประมาณ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากว่า 71% ประกอบกับเชื่อว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันคงต้องการลดการผลิตหากราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มต่ำกว่าต้นทุนในการผลิตอย่างแน่นอน ก็ต้องตอบว่าที่ราคาน้ำมัน ณ ระดับประมาณนี้ก็น่าสนใจลงทุนเหมือนกัน
ส่วนท่านที่สนใจจะลงทุนในน้ำมันดิบในตลาดโลก ก็มีทางเลือกที่น่าสนใจเอาไว้ให้ คือ ลงทุนในน้ำมันกองทุนน้ำมันได้ทุกวันทำการ ซึ่งค่อนข้างสะดวกสบายและ น่าจะมีส่วนช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนไม่มากก็น้อย เพราะกองทุนนี้ไม่ซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นใดจึงมองหรือคาดการณ์กันได้ไม่ยากด้วยเหตุและผลที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ “กองทุนรวม”ยังเป็นทางเลือกลงทุนที่ดีที่สุด จริงหรือ? พบคำตอบได้ที่ งานสัมมนา “หุ้นตก ดอกต่ำ รับมือด้วย...กองทุนรวม” ในวันเสาร์ที่ 7 มี.ค 52 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดา (ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น)