คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดยบลจ. แอสเซท พลัส
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลดลง 6.17 จุดหรือ 1.41 % โดย ณ วันที่ 27 ก.พ.52 SET ปิดที่ระดับ 431.52 และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 7,233 ล้านบาท ในช่วงต้นเดือน SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางโดยที่นักลงทุนยังรอการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางรัฐบาลรวมทั้งตัวเลขต่างๆทางเศรษฐกิจซึ่งในต้นเดือนทางกระทรวงพาณิชย์ได้รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน ม.ค. โดยลดลง 0.4% เทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.6%เทียบกับปีที่ผ่านมา
โดย SET ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ระดับ 447.71 ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะปรับตัวในกรอบแคบๆตามตลาดต่างประเทศ ถึงแม้ว่าวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาลงมติผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวตอบสนองต่ออย่างใด โดยต่อมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามภูมิภาค เนื่องจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาส 4/51 ซึ่งลดลง 3.3%เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา กดดันให้นักลงทุนบางส่วนขายหุ้นเพื่อลดการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทั่วเอเชีย
นอกจากนี้ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมกราคมได้ลดลงถึง 26.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 4 ปี 2551 ซึ่งลดลง 4.3% และนับเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดย SET ปรับตัวลดลงและแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 427.35 ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ต่อมาคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5 % มาอยู่ที่ 1.5% และทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลงประมาณ 0.1 – 0.5% โดยในเดือนนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 3,476 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายสุทธิ 1,310 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อสุทธิ 4,786 ล้านบาท
คาดการณ์การลงทุนในเดือนมีนาคม
ในช่วงเดือนมีนาคม SET น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 400-440 จุด โดยตลาดยังคงเคลื่อนไหวตามการปรับตัวของตลาดต่างประเทศ ซึ่งยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
คำแนะนำสำหรับการลงทุน
เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ภาวะถดถอยประกอบกับ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยซึ่งออกมาในทิศทางที่ชะลอตัวลง ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากตลาดยังคงไร้ปัจจัยในการกระตุ้นภาวะการลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวยังมีความน่าสนใจลงทุนเนื่องจากตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีประกอบกับอัตราเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง
โดยบลจ. แอสเซท พลัส
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลดลง 6.17 จุดหรือ 1.41 % โดย ณ วันที่ 27 ก.พ.52 SET ปิดที่ระดับ 431.52 และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 7,233 ล้านบาท ในช่วงต้นเดือน SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางโดยที่นักลงทุนยังรอการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางรัฐบาลรวมทั้งตัวเลขต่างๆทางเศรษฐกิจซึ่งในต้นเดือนทางกระทรวงพาณิชย์ได้รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน ม.ค. โดยลดลง 0.4% เทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.6%เทียบกับปีที่ผ่านมา
โดย SET ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ระดับ 447.71 ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะปรับตัวในกรอบแคบๆตามตลาดต่างประเทศ ถึงแม้ว่าวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาลงมติผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวตอบสนองต่ออย่างใด โดยต่อมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามภูมิภาค เนื่องจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาส 4/51 ซึ่งลดลง 3.3%เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา กดดันให้นักลงทุนบางส่วนขายหุ้นเพื่อลดการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงทั่วเอเชีย
นอกจากนี้ตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนมกราคมได้ลดลงถึง 26.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 4 ปี 2551 ซึ่งลดลง 4.3% และนับเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดย SET ปรับตัวลดลงและแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 427.35 ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ต่อมาคณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5 % มาอยู่ที่ 1.5% และทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลงประมาณ 0.1 – 0.5% โดยในเดือนนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 3,476 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายสุทธิ 1,310 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อสุทธิ 4,786 ล้านบาท
คาดการณ์การลงทุนในเดือนมีนาคม
ในช่วงเดือนมีนาคม SET น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 400-440 จุด โดยตลาดยังคงเคลื่อนไหวตามการปรับตัวของตลาดต่างประเทศ ซึ่งยังคงได้รับแรงกดดันจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก
คำแนะนำสำหรับการลงทุน
เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ภาวะถดถอยประกอบกับ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยซึ่งออกมาในทิศทางที่ชะลอตัวลง ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากตลาดยังคงไร้ปัจจัยในการกระตุ้นภาวะการลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวยังมีความน่าสนใจลงทุนเนื่องจากตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีประกอบกับอัตราเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง
