"การลงทุนในโกล์ดฟิวเจอร์ส เป็นทางเลือกใหม่ให้นักลงทุน เมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำแท่ง เพราะการลงทุนใช้เงินทุนน้อย ทำให้นักลงทุนระดับต่างๆ เข้าร่วมลงทุนได้ ซึ่งโอกาสที่ตลาดนี้จะเติบโตเป็นไปได้สูง" คำกล่าวของ อรุณศักดิ์ จรูญวงศ์นิรมลผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอสซีบี ควอนท์ จำกัด สำหรับทางเลือกการลงทุนใหม่ในบ้านเราอย่าง"โกล์ดฟิวเจอร์ส"
"อรุณศักดิ์" กล่าวต่อว่า การลงทุนในโกล์ดฟิวเจอร์ส จะเป็นการคาดการณ์ราคาทองคำล่วงหน้า ซึ่งทุกคนมีโอกาสในการทำกำไร แต่สำหรับการลงทุนในทองคำแท่ง นักลงทุนต้องใช้เม็ดเงินเต็มจำนวนในการซื้อทองคำแต่ละครั้ง อีกทั้งในเรื่องความปลอดภัยของสินทรัพย์ยังมีน้อยอีกด้วย
"ถึงเเม้ว่าการลงทุนในตลาดโกล์ดฟิวเจอร์ส จะเป็นเพียงการซื้อขายกระดาษ ไม่ใช่การนำเงินไปซื้อแล้วนำทองคำกลับบ้าน ที่จะเห็นเป็นทองคำแท่งๆ แต่ข้อดีในการลงทุนโกล์ดฟิวเจอร์สคือใช้เงินน้อย โดยการซื้อขาย 1 สัญญา เท่ากับทองคำ 50 บาท ทั้งนี้ หากทองคำราคาบาทละ 15,000 บาท จะต้องใช้เม็ดเงิน 750,000 บาท ถ้าหากเป็นการซื้อขายทองตามเยาวราชจะต้องนำเงิน 750,000 บาทเพื่อซื้อทอง แต่สำหรับโกล์ดฟิวเจอร์สใช้เม็ดเงินเพียงแค่ 10% หรือคิดเป็นเงินจำนวนประมาณ 75,000 บาท ส่วนที่เหลือนั้นนักลงทุนสามารถที่จะนำไปฝาก หรือลงทุนอย่างอื่นแทน เพื่อเป็นการทำกำไรสองต่อได้อีกทางหนึ่ง" นายอรุณศักดิ์แนะนำ
วิโรจน์ ตั้งเจริญ รักษาการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด1 บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ในด้านความเสี่ยงของการลงทุนนั้น เมื่อเปรียบเทียบดูจะพบว่า การลงทุนในทองคำแท่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า หากราคาทองคำแท่งลดลงนักลงทุนจะไม่ขาดทุนเยอะมาก แต่หากเป็นการลงทุนในโกล์ดฟิวเจอร์ส โอกาสที่จะสูญเสียเงินทั้งก้อนที่ลงทุนนั้นสูงกว่า
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องที่สนใจเข้าในในการเทรดในโกล์ดฟิวเจอร์ส ต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงของการลงทุน เพราะช่วงนี้นักลงทุนที่ยังไม่มีความรู้ในการซื้อขาย และขาดความชำนาญในการลงทุน แต่ต้องการจะลงทุนในทองคำได้หันไปซื้อทองคำแท่งแทน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ความรู้ในการซื้อขายให้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนมากนัก
....หลังจากฟังคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับข้อเสนอแนะและมุมมองต่อการลงทุนใน โกล์ดฟิวเจอร์ส ไปแล้ว...ทีมงาน "ASTVผู้จัดการกองทุนรวม" ขอนำเสนอรายละเอียดของการลงทุนใน โกล์ดฟิวเจอร์ส อีกครั้ง...เพื่อเป็นข้อมูลให้กับนักลงทุนที่สนใจ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ยังไม่รู้ว่า "โกล์ดฟิวเจอร์ส " คืออะไร
ทุกความคาดการณ์ คือโอกาสทำกำไร การซื้อขายโกล์ดฟิวเจอร์ส คือ การซื้อขายทองคำล่วงหน้า โดยเป็นราคาทองที่ผู้ลงทุนได้คาดการณ์ในอนาคต ซึ่งอาจจะแตกต่างจาก ราคาทองที่มีการซื้อขายและส่งมอบกันในปัจจุบัน (Gold Spot Price) ความคาดการณ์ราคาทองที่แตกต่างกันนี้ คือโอกาสในการซื้อขายเพื่อทำกำไรจากโกล์ดฟิวเจอร์สเช่น ในภาวะทองราคาขึ้น ราคาทองในปัจจุบันอาจอยู่ที่ 15,000 บาท แต่ราคาโกล์ดฟิวเจอร์สที่ครบกำหนดในอีก 6 เดือนข้างหน้า อาจซื้อขายอยู่ที่ 15 ,500 บาท สำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สไว้ ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะสูงกว่า 15 ,500 บาท จึงซื้อโดยหวัง ส่วนต่างราคาในกรณีที่ทองคำปรับตัวสูงขึ้น สำหรับผู้ขาย ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไม่ถึง 15 ,500 บาทในอีก 6 เดือนข้างหน้าและรอซื้อกลับเมื่อราคาถูกลง ซึ่งราคาซื้อขายจะปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนซื้อขายทำกำไรได้ตามความคาดการณ์
โอกาสกำไรสองทาง ทั้งขึ้น-ลง ทั้งนี้ การลงทุนในโกล์ดฟิวเจอร์สจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ลงทุน ทําให้สามารถซื้อขายทำกำไรได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง โดยในการซื้อขายจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริงระหว่างคู่สัญญา แต่ใช้วิธีจ่ายชำระเงินตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น เรียกว่า “การชำระราคาเป็นเงินสด” (Cash settlement) ผู้ลงทุนสามารถ “ ซื้อก่อนขาย” หรือ “ ขายก่อนซื้อ” ก็ได้ โดยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาที่ซื้อเอาไว้ เช่น หากผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็สามารถซื้อไว้ก่อน และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น ก็สามารถขายในภายหลัง ทำให้ได้กำไรเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อและขาย หรือในกรณีที่ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองจะปรับตัวลดลง ก็สามารถสั่งขายได้เลย แม้ว่าไม่เคยซื้อโกล์ดฟิวเจอร์สมาก่อน และเมื่อราคาทองปรับตัวลดลง ก็ค่อยซื้อในภายหลัง ทำให้ได้กำไรตามส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อ
กำไรสูง ต้นทุนต่ำ การซื้อขายโกล์ดฟิวเจอร์สต่างจากการซื้อขายหุ้น และซื้อขายทองคำ ตรงที่โกล์ดฟิวเจอร์สเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน ทั้งจำนวน ผู้ลงทุนแค่เพียงวางเงินส่วนหนึ่งซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาทั้งจำนวน ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ เรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) ซึ่งการซื้อขายที่ใช้เงินลงทุนน้อยนี้
ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้อัตราผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับเงินทุน เช่น ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จึงลงทุนซื้อทองคำน้ำหนัก 50 บาท ที่ราคาบาทละ 14,000 บาท เพื่อเก็งกำไร โดยต้องใช้เงินทุนซื้อ ทองทั้งหมดรวม 700,000 บาท แต่หากผู้ลงทุนซื้อ จะใช้เงินทุนเพื่อวางเป็นหลักประกันขั้นต้นประมาณ 50,000 บาท (โบรกเกอร์จะเป็นผู้กำหนด) ซึ่งหากราคาทองคำสูงขึ้นจริง ผู้ลงทุนที่ซื้อก็มีโอกาสได้รับ อัตราผลกำไรสูงกว่าการซื้อทองคำ
หากราคาทองขาลง ผู้ลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากทองคำและมีทองคำอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็สามารถเร่งขายทองคำในช่วงที่ราคาทองยังสูง และค่อยซื้อทองคำกลับคืนหลังจากราคาทองปรับตัวลดลง แต่สำหรับ ผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในมือก็จะไม่สามารถใช้วิธีนี้สร้างทำกำไรได้ โกล์ดฟิวเจอร์สช่วยเพิ่ม โอกาสทำกำไรโดยใช้ต้นทุนต่ำได้ เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถวางเงินแค่หลักประกันขั้นต้น ก็สามารถทำการขายเพื่อทำกำไรในตลาดขาลง
เพิ่มทางเลือก กระจายการลงทุน สำหรับราคาซื้อขายโกล์ดฟิวเจอร์ส มาจากความคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตของผู้ลงทุน แม้ว่าจะไม่ใช่ราคาเดียวกับราคาทองคำที่ซื้อขายและส่ง มอบ ในปัจจุบันแต่ก็มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยผลจากการศึกษาทางสถิติ ( ข้อมูลในช่วง ก.พ. 2541 – มิ.ย. 2550) พบว่า ราคาทองคำมีทิศทางการ เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับหลักทรัพย์ชนิดอื่น ๆ
โดยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนพบว่าทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ติดลบสูงสุดเท่ากับ -0.24 และเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index ) ทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ติดลบเท่ากับ -0.09 โกล์ดฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นอยู่ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังมักเคลื่อนไหวในทิศทาง เดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคและราคาน้ำมัน การซื้อขายโกล์ดฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใน การกระจายการลงทุนที่เรียกว่า การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากภาวะเงินเฟ้อได้ (Inflation Hedge) ปรับยอดเงินทุกวัน กลไกสำคัญในการช่วยติดตามสถานะการซื้อขาย
ปรับยอดทุกวัน กลไกสำคัญ ผู้ลงทุนที่มีสถานะซื้อหรือสถานะขายโกล์ดฟิวเจอร์สอยู่ จะได้รับปรับยอดเงินในบัญชีหลักประกันให้ทุกสิ้นวัน แม้ว่าจะยังถือสัญญาไว้ก็ตามโดยในการ ซื้อขาย ผู้ลงทุนจะต้องวางเงินหลักประกันขั้นต้น ( Initial Margin) ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย และเมื่อซื้อหรือขายไปแล้ว ทุกสิ้นวันโบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีของผู้ลงทุน โดยจะคำนวณว่าในวันนั้น ๆ ผู้ลงทุนได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร และจะนำยอดกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น มารวมกับเงินในบัญชีของผู้ลงทุน เช่น หากผู้ลงทุนได้กำไร ก็จะได้รับโอนเงินส่วนกำไรจากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนเข้ามารวมในบัญชีหลักประกัน โดยในทางกลับกัน หากผู้ลงทุนขาดทุน ก็จะถูกโอนเงินส่วนขาดทุนออกจากบัญชีหลักประกันไปให้คู่สัญญาฝ่ายที่ได้กำไรเช่นกัน
ในกรณีที่ผู้ลงทุนขาดทุนจนทำให้เงินในบัญชีที่วางไว้ลดลงจนต่ำกว่าระดับหลักประกันที่โบรกเกอร์กำหนด หรือที่เรียกว่า หลักประกันรักษาสภาพ(Maintenance Margin) โบรกเกอร์ก็จะเรียกให้ผู้ลงทุนนำเงินมาวางเพิ่มเติม (Margin Call) ให้ระดับเงินในบัญชีกลับไปอยู่ที่ระดับหลักประกันขั้นต้น อีกครั้งหนึ่ง การคำนวณกำไรขาดทุนทุกสิ้นวันนี้ เรียกว่า Mark to Market ซึ่งเป็น กลไกสำคัญที่ช่วยผู้ลงทุนในการติดตามสถานะ การซื้อขายของตน หากเกิดภาวะขาดทุน ก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างทันท่วงที
ข้อควรระวังในการซื้อขาย ด้านการลงทุนใช้เงินทุนน้อย โดยผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งหมดในการซื้อขายเพียงแค่วางเงินประกัน 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญา ดังนั้น หากผู้ลงทุนได้กำไร จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเช่นเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกับ อัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนควรติดตามให้ความสนใจ
นอกจากนี้ ฟิวเจอร์สมีอายุจํากัด ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและทองคำจริงที่ไม่มีวันหมดอายุ หากผู้ลงทุนถือโกล์ดฟิวเจอร์สไปจนถึงวันครบอายุสัญญาก็จะมีการ ปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนเท่ากับส่วนต่างระหว่าง ราคาที่ซื้อหรือขายฟิวเจอร์สไว้ และราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรรู้จักระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน และควรติดตามสถานะการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ