บลจ.ทิสโก้เชื่อศักยภาพหุ้นเอเชีย-ไทย ฟื้นตัวก่อนสหรัฐ-ยุโรป ระบุราคาหุ้น และการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเป็นปัจจัยบวกที่ดีว่ากลุ่มประเทศอื่น พร้อมแนะนักลงทุนเร่งเก็บของถูกรอทำกำไร เชื่อหุ้นไทยปี 52 ดีดตัวแตะ 600 จุด
นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ปี2551 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเศรษฐกิจโลกและราคาสินทรัพย์เสี่ยงไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาได้ปรับตัวลงมามากสะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยหากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ในครึ่งหลังของปี2552 ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจประมาณ 6-9 เดือน ก็น่าจะมีการฟื้นตัวก่อนในครึ่งแรกของปี2551 นี้
"เรามองว่าราคาหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจ เพราะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในขณะที่สหรัฐและญี่ปุ่นกำลังแย่ ดังนั้นผลตอบแทนของตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป และยังน่าจะเป็นภูมิภาคที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกเป็นอันดับต้นๆ"นายพิชากล่าว
ทั้งนี้ หุ้นตลาดเกิดใหม่และเอเชียในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมากประมาณกว่า 50% ซึ่งสูงกว่าประเทศสหรัฐและยุโรปที่เป็นตัวเหตุของปัญหาที่ปรับตัวลงมาเพียง 30-40%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตภูมิภาคตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า ดังนั้นตลาดหุ้นเอเชียจึงมีความน่าสนใจโดยเฉพาะในหลายประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย แต่ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอาจจะมีความน่าสนใจน้อยกว่า เช่น เกาหลีใต้ หรือไต้หวัน เป็นต้น
นายพิชา ยังกล่าวอีกว่า แม้ตลาดเกิดใหม่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงแต่ลาตินอเมริกาและยุโรปตะวันออกมีเงินเฟ้อสูง เอเชียจึงมีความน่าสนใจมากกว่า ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงมา 40-50% มูลค่าหุ้นต่ำมาก ตลาดหุ้นเอเชียเคยซื้อขายกันที่ระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เฉลี่ย 14-45 เท่า ในช่วง Bull มากๆ อยู่ที่ 17-18 เท่า ช่วงตลาด Bear มากๆ อยู่ 9-10 เท่า ปัจจุบันลงมาซื้อขายที่ระดับ 10 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมาก ในขณะที่ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ก็ลงมาต่ำเช่นเดียวกัน จากเฉลี่ย 2 เท่า ลงมาเหลือ 1.3 เท่าในปัจจุบัน ทั้งที่บริษัทในเอเชียยังคงมีผลประกอบการที่เป็นกำไรแม้จะชะลอตัวลงไปบ้างก็ตาม ในแง่ของมูลค่าแล้วตลาดหุ้นเอเชียจึงมีความน่าสนใจมาก
“ตลาดหุ้นไทยก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน จากที่เคยซื้อขายกันที่ระดับ P/E 11-12 เท่า ปัจจจุบันลงมาเหลือ 7 เท่า ถ้ามองพื้นฐานไปในปี2010 เทียบกับปี2009 ต่อให้กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่โตเลย แล้วตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นไปเทรดที่ P/E 10 เท่า จาก 7 เท่าในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ประมาณ 30% จากระดับ 450 จุดในปัจจุบัน หรือประมาณ 600 จุดได้ในปี2010 ดังนั้นตลาดหุ้นไทยซึ่งมีพื้นฐานตามมูลค่าทางบัญชีอยู่ประมาณ 400 จุด ต้นๆ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันจึงถือว่าอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากโดยเฉพาะถ้ามองการลงทุนระยะยาว น่าจะเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี2552”
ดังนั้นแผนการออกกองทุนในช่วงครึ่งแรกของปี2552 บริษัทจะเน้นการทำตลาดกองทุนหุ้นที่มีอยู่แล้วเดิม เช่น กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ รวมทั้งการส่งกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ออกมาเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนทุกเดือนในช่วงครึ่งแรกของปี2552 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าระยะเวลาการลงทุน 1 ปี กับการลุ้นผลตอบแทน 15% น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ลงทุนได้
นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ปี2551 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเศรษฐกิจโลกและราคาสินทรัพย์เสี่ยงไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาได้ปรับตัวลงมามากสะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยหากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ในครึ่งหลังของปี2552 ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจประมาณ 6-9 เดือน ก็น่าจะมีการฟื้นตัวก่อนในครึ่งแรกของปี2551 นี้
"เรามองว่าราคาหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจ เพราะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในขณะที่สหรัฐและญี่ปุ่นกำลังแย่ ดังนั้นผลตอบแทนของตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป และยังน่าจะเป็นภูมิภาคที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกเป็นอันดับต้นๆ"นายพิชากล่าว
ทั้งนี้ หุ้นตลาดเกิดใหม่และเอเชียในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมากประมาณกว่า 50% ซึ่งสูงกว่าประเทศสหรัฐและยุโรปที่เป็นตัวเหตุของปัญหาที่ปรับตัวลงมาเพียง 30-40%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตภูมิภาคตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียน่าจะมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า ดังนั้นตลาดหุ้นเอเชียจึงมีความน่าสนใจโดยเฉพาะในหลายประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย แต่ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักอาจจะมีความน่าสนใจน้อยกว่า เช่น เกาหลีใต้ หรือไต้หวัน เป็นต้น
นายพิชา ยังกล่าวอีกว่า แม้ตลาดเกิดใหม่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงแต่ลาตินอเมริกาและยุโรปตะวันออกมีเงินเฟ้อสูง เอเชียจึงมีความน่าสนใจมากกว่า ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงมา 40-50% มูลค่าหุ้นต่ำมาก ตลาดหุ้นเอเชียเคยซื้อขายกันที่ระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เฉลี่ย 14-45 เท่า ในช่วง Bull มากๆ อยู่ที่ 17-18 เท่า ช่วงตลาด Bear มากๆ อยู่ 9-10 เท่า ปัจจุบันลงมาซื้อขายที่ระดับ 10 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมาก ในขณะที่ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ก็ลงมาต่ำเช่นเดียวกัน จากเฉลี่ย 2 เท่า ลงมาเหลือ 1.3 เท่าในปัจจุบัน ทั้งที่บริษัทในเอเชียยังคงมีผลประกอบการที่เป็นกำไรแม้จะชะลอตัวลงไปบ้างก็ตาม ในแง่ของมูลค่าแล้วตลาดหุ้นเอเชียจึงมีความน่าสนใจมาก
“ตลาดหุ้นไทยก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน จากที่เคยซื้อขายกันที่ระดับ P/E 11-12 เท่า ปัจจจุบันลงมาเหลือ 7 เท่า ถ้ามองพื้นฐานไปในปี2010 เทียบกับปี2009 ต่อให้กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่โตเลย แล้วตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นไปเทรดที่ P/E 10 เท่า จาก 7 เท่าในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ประมาณ 30% จากระดับ 450 จุดในปัจจุบัน หรือประมาณ 600 จุดได้ในปี2010 ดังนั้นตลาดหุ้นไทยซึ่งมีพื้นฐานตามมูลค่าทางบัญชีอยู่ประมาณ 400 จุด ต้นๆ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันจึงถือว่าอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากโดยเฉพาะถ้ามองการลงทุนระยะยาว น่าจะเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี2552”
ดังนั้นแผนการออกกองทุนในช่วงครึ่งแรกของปี2552 บริษัทจะเน้นการทำตลาดกองทุนหุ้นที่มีอยู่แล้วเดิม เช่น กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ ฟันด์ รวมทั้งการส่งกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ออกมาเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนทุกเดือนในช่วงครึ่งแรกของปี2552 นี้ ซึ่งมั่นใจว่าระยะเวลาการลงทุน 1 ปี กับการลุ้นผลตอบแทน 15% น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ลงทุนได้