"บลจ.กสิกรไทย"คาดหุ้นไทยปี52ดัชนีฟื้นแตะ600จุด ระบุหุ้นพลังงานยังน่าสน ส่วนกลุ่มสถาธารณูปโภคมาแรง หลังรับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ พร้อมแนะนักลงทุนชิงซื้อของถูกรอทำกำไร เหตุการเมืองเริ่มนิ่ง-เงินนอกไหลเข้าดันหุ้นไทยยืนระดับ 400 จุด"
นางสาวโศภนา เจนบวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ประเทศต่างๆ ได้มีการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ากว่ามาตรการเหล่านั้นจะเห็นผลคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในฐานะที่เป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจอยู่ประมาณ 6-9 เดือน หากเรามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะประสบความสำเร็จและเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในปลายปี2552 นี้ ดัชนีหุ้นไทยในปีนี้น่าจะก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นก่อนหน้าได้เช่นเดียวกัน
สำหรับตลาดหุ้นไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทเชื่อว่าดัชนีน่าจะอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 600 จุด ซึ่งเป็นการมองแบบระมัดระวังมากแล้ว โดยอาจจะอยู่ในช่วงใดก็ได้ของปี แต่จะมีอัตราผันผวนอยู่ในช่วงค่าขึ้นเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม หากมองอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Earning Growth) ติดลบ 15% และระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 9.5 เท่า ซึ่ง ณ ระดับดัชนี 600 จุดดังกล่าวตลาดหุ้นไทยก็ยังถือว่าไม่แพง และจากระดับราคาปัจจุบันเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะลงไปต่ำกว่า 400 จุด เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งต่างจากในอดีตที่มีความวุ่นวายทางการเมืองเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นไทยให้ดิสเคาท์กว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค
นอกจากนี้ การที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาเป็นระยะๆ จะทำให้การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยไม่รุนแรงเหมือนในช่วงปีที่ผ่านมา
“ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียยังเป็นภูมิภาคที่มีความน่าสนใจลงทุนที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปหรือสหรัฐ ดังนั้นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จัดสรรเงินลงทุนยังโฟกัสเข้ามาในภูมิภาคเอเชียอยู่ ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะได้รับผลดีจากเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าของต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน"นางสาวโศภนากล่าว
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดเล็กการจัดสรรเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในภูมิภาคเอเชียเงินที่จะมาไทยอาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น แต่ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่หนุนให้ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลงแรงและมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ดีอยู่ในแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียได้เช่นเดียวกัน
น.ส.โศภนา กล่าวอีกว่าว่า หุ้นกลุ่มที่น่าจะสนใจลงทุนในปีนี้ จะอยู่ใน กลุ่มพลังงาน กลุ่มที่อ้างอิงการบริโภค และพาณิชย์ โดยกลุ่มของพลังงานเชื่อว่า ราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับในอดีตก็ตาม
ส่วนกลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศและกลุ่มพาณิชย์ รวมทั้งหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ซึ่งอาจจะต้องเลือกดูเป็นรายธนาคารไป ขึ้นกับว่าแบงก์ไหนจะมีความสามารถในการบริหารจัดการกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้ดีกว่ากัน
สำหรับอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐในการขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตลอดจนการกระจายเม็ดเงินลงทุนไปสู่ภูมิภาค ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นหลักที่สำคัญที่จะนำมาเล่นกันในไตรมาสที่1/52 นี้เลย ทั้งนี้คาดว่าตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนน่าจะออกมาติดลบในไตรมาสที่1/52 ต่อเนื่องจากไตรมาสที่4/51 ก่อนที่จะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้น แต่โดยรวมภาพของตลาดหุ้นในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าในปี2551 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้วการลงทุนในช่วงเวลานี้นี่ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจนปัจจุบันบริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ประมาณ 30-40%
“นั่นแสดงว่าถ้าผู้ลงทุนเข้าซื้อหุ้นในราคาปัจจุบันจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าผู้ประกอบการที่ลงทุนในวันแรกที่ดำเนินกิจการอีกด้วย ซึ่งถือเป็นภาวะที่ผิดปกติและไม่น่าจะอยู่ได้นานราคาหุ้นจะต้องกลับมาสะท้อนภาวะที่แท้จริงของบริษัท นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ลงทุน”นางสาวโศภนา
นางสาวโศภนา เจนบวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันน่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ประเทศต่างๆ ได้มีการใช้มาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ากว่ามาตรการเหล่านั้นจะเห็นผลคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในฐานะที่เป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจอยู่ประมาณ 6-9 เดือน หากเรามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะประสบความสำเร็จและเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในปลายปี2552 นี้ ดัชนีหุ้นไทยในปีนี้น่าจะก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นก่อนหน้าได้เช่นเดียวกัน
สำหรับตลาดหุ้นไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้า บริษัทเชื่อว่าดัชนีน่าจะอยู่ในระดับเป้าหมายที่ 600 จุด ซึ่งเป็นการมองแบบระมัดระวังมากแล้ว โดยอาจจะอยู่ในช่วงใดก็ได้ของปี แต่จะมีอัตราผันผวนอยู่ในช่วงค่าขึ้นเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม หากมองอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Earning Growth) ติดลบ 15% และระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 9.5 เท่า ซึ่ง ณ ระดับดัชนี 600 จุดดังกล่าวตลาดหุ้นไทยก็ยังถือว่าไม่แพง และจากระดับราคาปัจจุบันเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะลงไปต่ำกว่า 400 จุด เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งต่างจากในอดีตที่มีความวุ่นวายทางการเมืองเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นไทยให้ดิสเคาท์กว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค
นอกจากนี้ การที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาเป็นระยะๆ จะทำให้การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยไม่รุนแรงเหมือนในช่วงปีที่ผ่านมา
“ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียยังเป็นภูมิภาคที่มีความน่าสนใจลงทุนที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปหรือสหรัฐ ดังนั้นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จัดสรรเงินลงทุนยังโฟกัสเข้ามาในภูมิภาคเอเชียอยู่ ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะได้รับผลดีจากเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าของต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน"นางสาวโศภนากล่าว
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดเล็กการจัดสรรเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในภูมิภาคเอเชียเงินที่จะมาไทยอาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น แต่ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่หนุนให้ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลงแรงและมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ดีอยู่ในแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียได้เช่นเดียวกัน
น.ส.โศภนา กล่าวอีกว่าว่า หุ้นกลุ่มที่น่าจะสนใจลงทุนในปีนี้ จะอยู่ใน กลุ่มพลังงาน กลุ่มที่อ้างอิงการบริโภค และพาณิชย์ โดยกลุ่มของพลังงานเชื่อว่า ราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับในอดีตก็ตาม
ส่วนกลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศและกลุ่มพาณิชย์ รวมทั้งหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ซึ่งอาจจะต้องเลือกดูเป็นรายธนาคารไป ขึ้นกับว่าแบงก์ไหนจะมีความสามารถในการบริหารจัดการกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้ดีกว่ากัน
สำหรับอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐในการขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ตลอดจนการกระจายเม็ดเงินลงทุนไปสู่ภูมิภาค ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นหลักที่สำคัญที่จะนำมาเล่นกันในไตรมาสที่1/52 นี้เลย ทั้งนี้คาดว่าตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนน่าจะออกมาติดลบในไตรมาสที่1/52 ต่อเนื่องจากไตรมาสที่4/51 ก่อนที่จะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้น แต่โดยรวมภาพของตลาดหุ้นในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าในปี2551 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้วการลงทุนในช่วงเวลานี้นี่ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน เพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาค่อนข้างมากจนปัจจุบันบริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ประมาณ 30-40%
“นั่นแสดงว่าถ้าผู้ลงทุนเข้าซื้อหุ้นในราคาปัจจุบันจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าผู้ประกอบการที่ลงทุนในวันแรกที่ดำเนินกิจการอีกด้วย ซึ่งถือเป็นภาวะที่ผิดปกติและไม่น่าจะอยู่ได้นานราคาหุ้นจะต้องกลับมาสะท้อนภาวะที่แท้จริงของบริษัท นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ลงทุน”นางสาวโศภนา