คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านครับ หลังจากที่หลายๆท่านได้พักผ่อนยาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ ซึ่งก็คือ สภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มว่าจะเลวร้าย อย่างที่นักวิเคราะห์หลายท่านได้ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเป็นการเผาจริง เนื่องจาก ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อไทยเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของ ธปท. เดือนธันวาคมที่หดตัวลง 17.7% ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด
ในส่วนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตที่ดี เพราะทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีจะบ่งชี้ถึงความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในภายภาคหน้า ได้ปรับตัวลดลงถึง 408.14 จุด หรือ -47.56% ในปีที่แล้ว โดยดัชนีได้เริ่มปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดของปีที่ 884.19 จุด เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม และปรับตัวลงอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคม (จาก 596.54 จุด ณ วันที่ 30 กันยายน สู่ 416.53 จุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม -180.01 จุด หรือ -30.18%) หลังการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และแตะจุดต่ำสุดของปีที่ 384.15 จุด เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ก่อนที่จะรีบาวนด์ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี
สำหรับในปีนี้ ท่านนักลงทุนหลายท่านคงจะมีคำถามว่าควรจะลงทุนในอะไรดี และก็มีผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการลงทุนหลายท่านได้ให้คำแนะนำไปบ้างแล้ว ซึ่งหลักๆก็คือ ควรกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เพราะราคาสินทรัพย์ต่างๆในปีนี้ ยังคงมีแนวโน้มที่จะผันผวนอยู่ โดยภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกจะยังคงอยู่ในช่วงขาลง ตามสภาวะเศรษฐกิจโลก ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่มาตรการของรัฐบาลประเทศต่างๆเริ่มส่งผลในแง่บวก
โดยผลสำรวจของบลูมเบิร์กระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ภาคการเงินจะเป็นกลุ่มนำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยภาคการเงินจะรายงานผลประกอบการออกมาดีมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ภาคการเงินของสหรัฐฯได้ทำการลดมูลค่าทางบัญชี (write-off) เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ฐานการคำนวณของปีที่ผ่านมาต่ำ ในขณะที่คู่แข่งหลายรายได้ปิดกิจการไปแล้ว การฟื้นตัวของภาคการเงินสหรัฐฯ (แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเหตุผลทางเทคนิค) น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับภาพรวมของการออมและการลงทุนในปี 2552 ในความคิดเห็นส่วนตัวที่ผมขอนำมาแชร์กับท่านนักลงทุน (ไม่ใช่คำแนะนำ) เพื่อที่ท่านนักลงทุนจะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนของท่านในปีนี้ มีดังนี้ครับ
เงินฝาก และกองทุนตลาดเงิน สำหรับท่านนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง และต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ การฝากเงิน หรือลงทุนในกองทุนตลาดเงิน น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับท่าน อย่างไรก็ตาม เงินฝาก และกองทุนตลาดเงินมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนน้อยลง ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธปท. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.75% สู่ 1.00% ภายในปีนี้
ตลาดตราสารหนี้ ในปีนี้ ตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลหลายประเทศมีความต้องการกู้เงินเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลให้รัฐบาลต้องออกพันธบัตรเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลงได้
ตลาดทุน ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะรับข่าวการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมามากแล้ว แต่ตลาดก็อาจจะผันผวนไปตามตัวเลขเศรษฐกิจ หรือตามข่าวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่จะทยอยออกมา ซึ่งอาจจะดีหรือแย่กว่าที่คาดก็เป็นได้ สำหรับท่านนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้น อาจจะทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ เพราะราคาหุ้นในปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงมามากแล้ว อย่างไรก็ตาม ท่านนักลงทุนควรจะคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้พอร์ตการลงทุนของท่านไม่ปรับตัวลดลงมาก หากเศรษฐกิจย่ำแย่กว่าที่คาด ในขณะที่หากหุ้นปรับตัวขึ้น หุ้นที่มีพื้นฐานดีมักจะปรับตัวได้ดี
สินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์มีความหลากหลาย การเลือกลงทุนก็คงจะต้องดูเป็นตัวๆไป สำหรับผม จะชอบสินค้าที่ราคาปรับลดลงมามาก และมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร เพราะผมมีความเห็นส่วนตัวว่า ตราบใดที่คนยังมีชีวิต ก็คงต้องกินอาหาร และสินค้าเกษตรสามารถนำไปแปรรูปเป็นสิ่งอื่นๆได้ เช่น เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ยาง พลังงาน เป็นต้น ในขณะที่จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน และคนมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวขึ้น แต่พื้นที่ทำเกษตรกลับลดลง กอปรกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้ผลผลิตการเกษตรลดน้อยลง การลงทุนในสินค้าเกษตรน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว สำหรับการลงทุนในทองคำ ซึ่งหลายๆคนชื่นชอบ เพราะช่วงที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนได้ดี ผมกลับไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะผมมองว่าราคาขึ้นมามากแล้ว และความผันผวนของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ก็สูงผิดปกติเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ท่านนักลงทุนควรจะทำการศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน เพื่อให้เข้าใจว่า ท่านกำลังลงทุนหรือจะลงทุนในอะไร ซึ่งจะทำให้ท่านได้ทราบว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร และในปีนี้ คงจะเป็นปีที่ท่านนักลงทุน ควรศึกษาหาข้อมูลหรือความรู้ด้านการลงทุนให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางเอวายเอฟ มีการจัดสัมมนาการลงทุนให้ท่านนักลงทุนทั่วไปตลอดปี ท่านนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.ayfunds.com ในส่วนของ AYF access PL@CE หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-657-5757 ได้ทุกวัน ระหว่าง 9.00 – 17.00 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านครับ หลังจากที่หลายๆท่านได้พักผ่อนยาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ ซึ่งก็คือ สภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มว่าจะเลวร้าย อย่างที่นักวิเคราะห์หลายท่านได้ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเป็นการเผาจริง เนื่องจาก ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีต่อไทยเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกของ ธปท. เดือนธันวาคมที่หดตัวลง 17.7% ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด
ในส่วนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตที่ดี เพราะทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีจะบ่งชี้ถึงความคาดหวังเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในภายภาคหน้า ได้ปรับตัวลดลงถึง 408.14 จุด หรือ -47.56% ในปีที่แล้ว โดยดัชนีได้เริ่มปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดของปีที่ 884.19 จุด เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม และปรับตัวลงอย่างรุนแรงในเดือนตุลาคม (จาก 596.54 จุด ณ วันที่ 30 กันยายน สู่ 416.53 จุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม -180.01 จุด หรือ -30.18%) หลังการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และแตะจุดต่ำสุดของปีที่ 384.15 จุด เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ก่อนที่จะรีบาวนด์ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี
สำหรับในปีนี้ ท่านนักลงทุนหลายท่านคงจะมีคำถามว่าควรจะลงทุนในอะไรดี และก็มีผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการลงทุนหลายท่านได้ให้คำแนะนำไปบ้างแล้ว ซึ่งหลักๆก็คือ ควรกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เพราะราคาสินทรัพย์ต่างๆในปีนี้ ยังคงมีแนวโน้มที่จะผันผวนอยู่ โดยภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกจะยังคงอยู่ในช่วงขาลง ตามสภาวะเศรษฐกิจโลก ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่มาตรการของรัฐบาลประเทศต่างๆเริ่มส่งผลในแง่บวก
โดยผลสำรวจของบลูมเบิร์กระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ภาคการเงินจะเป็นกลุ่มนำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยภาคการเงินจะรายงานผลประกอบการออกมาดีมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ภาคการเงินของสหรัฐฯได้ทำการลดมูลค่าทางบัญชี (write-off) เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ฐานการคำนวณของปีที่ผ่านมาต่ำ ในขณะที่คู่แข่งหลายรายได้ปิดกิจการไปแล้ว การฟื้นตัวของภาคการเงินสหรัฐฯ (แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเหตุผลทางเทคนิค) น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับภาพรวมของการออมและการลงทุนในปี 2552 ในความคิดเห็นส่วนตัวที่ผมขอนำมาแชร์กับท่านนักลงทุน (ไม่ใช่คำแนะนำ) เพื่อที่ท่านนักลงทุนจะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนของท่านในปีนี้ มีดังนี้ครับ
เงินฝาก และกองทุนตลาดเงิน สำหรับท่านนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง และต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ การฝากเงิน หรือลงทุนในกองทุนตลาดเงิน น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับท่าน อย่างไรก็ตาม เงินฝาก และกองทุนตลาดเงินมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนน้อยลง ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธปท. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.75% สู่ 1.00% ภายในปีนี้
ตลาดตราสารหนี้ ในปีนี้ ตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาวปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลหลายประเทศมีความต้องการกู้เงินเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลให้รัฐบาลต้องออกพันธบัตรเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลงได้
ตลาดทุน ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะรับข่าวการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมามากแล้ว แต่ตลาดก็อาจจะผันผวนไปตามตัวเลขเศรษฐกิจ หรือตามข่าวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่จะทยอยออกมา ซึ่งอาจจะดีหรือแย่กว่าที่คาดก็เป็นได้ สำหรับท่านนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้น อาจจะทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ เพราะราคาหุ้นในปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงมามากแล้ว อย่างไรก็ตาม ท่านนักลงทุนควรจะคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้พอร์ตการลงทุนของท่านไม่ปรับตัวลดลงมาก หากเศรษฐกิจย่ำแย่กว่าที่คาด ในขณะที่หากหุ้นปรับตัวขึ้น หุ้นที่มีพื้นฐานดีมักจะปรับตัวได้ดี
สินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์มีความหลากหลาย การเลือกลงทุนก็คงจะต้องดูเป็นตัวๆไป สำหรับผม จะชอบสินค้าที่ราคาปรับลดลงมามาก และมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร เพราะผมมีความเห็นส่วนตัวว่า ตราบใดที่คนยังมีชีวิต ก็คงต้องกินอาหาร และสินค้าเกษตรสามารถนำไปแปรรูปเป็นสิ่งอื่นๆได้ เช่น เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ยาง พลังงาน เป็นต้น ในขณะที่จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน และคนมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวขึ้น แต่พื้นที่ทำเกษตรกลับลดลง กอปรกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้ผลผลิตการเกษตรลดน้อยลง การลงทุนในสินค้าเกษตรน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว สำหรับการลงทุนในทองคำ ซึ่งหลายๆคนชื่นชอบ เพราะช่วงที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนได้ดี ผมกลับไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะผมมองว่าราคาขึ้นมามากแล้ว และความผันผวนของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ก็สูงผิดปกติเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ท่านนักลงทุนควรจะทำการศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน เพื่อให้เข้าใจว่า ท่านกำลังลงทุนหรือจะลงทุนในอะไร ซึ่งจะทำให้ท่านได้ทราบว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร และในปีนี้ คงจะเป็นปีที่ท่านนักลงทุน ควรศึกษาหาข้อมูลหรือความรู้ด้านการลงทุนให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางเอวายเอฟ มีการจัดสัมมนาการลงทุนให้ท่านนักลงทุนทั่วไปตลอดปี ท่านนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ www.ayfunds.com ในส่วนของ AYF access PL@CE หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-657-5757 ได้ทุกวัน ระหว่าง 9.00 – 17.00 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)