xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตำราจอมยุทธ์ รับมือตลาดหุ้นปีฉลู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"บริษัทที่น่าสนใจลงทุนจะอยู่ในหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีกระบวนการผลิตครบวงจร หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่จำเป็น"


การลงทุนและความเสี่ยงเป็นของคู่กัน แต่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ความเสี่ยงย่อมเพิ่มขึ้นตามมาเป็นธรรมดา กลยุทธ์ที่นักลงทุนนำมาใช้ช่วงนี้คงต้องพิจารณากันหนักหน่อย และแน่นอนบางครั้งเมื่อคนมีเงินแต่ไม่มีเวลา หรือคนที่ยังขาดความรู้ด้านนี้จะหันไปพึ่งพาเหล่าจอมยุทธ์สำนักต่างๆ

หากจอมยุทธ์ที่เราหันไปพึ่งพานั้น มีการคาดการณ์ที่แม่นยำมากเพียงใด นักลงทุนคงจะมีรอยยิ้มมากขึ้นเท่านั้น....

เท่ากับว่ามุมมองและการประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงอนาคตเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจก่อนการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีหลายสำนัก หลายบลจ.(บริษัทจัดการกองทุน) นำเสนอแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนของปีหน้ากันบ้างแล้ว แต่ในส่วนของบลจ.ธนชาต นั้นนอกจากมุมมองภายในและภายนอกประเทศแล้ว ยังมีกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ในปีหน้าให้นักลงทุนได้พิจารณากันอีกด้วย

แนวโน้มภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นปีฉลู (2552) ที่บลจ.ธนชาต คาดการณ์ไว้บอกว่า ภาพรวมการลงทุนในประเทศและทั่วโลกนั้น ยังถูกปกคลุมด้วยความเสี่ยงของภาคการเงินและภาวะเศรษฐกิจโลก ที่น่าจะหดตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี โดยผลกระทบข้างต้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปี 2552
ทั้งนี้จะเห็นได้จาก การที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดการประเมินการเติบโตของ GDP ของเศรษฐกิจโลกในปี2008 จาก 3.9% เหลือ 3.7% และสำหรับปี 2009 ลดลงจากเดิม 3.0% เหลือเพียง 2.2% และมีแนวโน้มจะต้องปรับลดประมาณการลงอีกค่อนข้างมาก

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีฉลู

สำหรับประเทศไทย ได้มีการคาดการณ์เอาว่า GDP จะเติบโตในระดับร้อยละ 0.9-2 เท่านั้น จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงในขณะนี้และอนาคต จะเป็นความเสี่ยงที่จะมีการปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนลง

โดยการคาดการณ์การเติบโตในปี 2552 คาดว่าจะลดลงประมาณร้อยละ 5 - 22 เมื่อผนวกกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศที่อาจจะทำให้การผลักดันนโยบายเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจล่าช้าหรือน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าภาวะเศรษฐกิจโลกก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ภาพดังกล่าวน่าจะเริ่มคลี่คลายลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ใหญ่จึงนำมาซึ่งการพร้อมใจกันของรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน-การคลัง โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง

การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินจำนวนมาก และการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลังครั้งใหญ่ จากการที่ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปโดยเฉพาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงมาก โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ที่ปรับตัวลงต่ำกว่า 50 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นต้นทุนของธุรกิจและภาครัวเรือนส่วนใหญ่นั้น

ปัจจัยข้างต้นนี้จะช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ให้ถดถอยรุนแรงจนเกินไปและเป็นการช่วยเกื้อหนุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
เห็นแบบนี้แล้วหลายคนคงพอจะพอมองออกว่าในปีหน้า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจบ้านเรากันบ้าง นอกจากนี้ บลจ.ธนชาตยังวิเคราะห์เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกเอาไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วยว่า...เศรษฐกิจโลกที่ลุกลามจากภาคการเงินสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอย่างชัดเจน

การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

กลุ่มประเทศที่ IMF ปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจ ในปี 2009 มากที่สุด คือ กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมที่ระดับ 5.1% ลดจาก 6.1% ที่ประมาณไว้ก่อนหน้านี้ในเดือน ต.ค. โดยกลุ่ม Commonwealth of Independent States (รัฐที่แยกตัวของจากรัสเซียเดิม) ยกเว้นรัสเซีย ถูกประเมินลดลงอย่างรุนแรง คือ จาก 6.2% เหลือ 1.6%

อย่างไรก็ตามประเทศกำลังพัฒนาจะยังมีอัตราการเติบโตดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ในปี 2009 กว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลกจะตกอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัวประมาณ -0.7% ส่วนสหราชอาณาจักรคาดว่าจะเป็นประเทศที่ได้รับผลลบมากที่สุดในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก โดย IMF ประเมินว่า สหราชอาณาจักรจะหดตัวถึง -1.3% ในปี 2008
ขณะที่ประเทศจีน IMF คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาดไว้เดิม จึงปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2009 จาก 9..3% เหลือ 8.5% อินเดียปรับลดจาก 6.9% เหลือ 6.3% และสำหรับประเทศไทยเองได้มีการคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตในระดับร้อยละ 0.9-2 เท่านั้น

ปัจจัยที่ต้องกังวลคงจะไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ลุกลามจากภาคการเงินสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอย่างชัดเจน ซึ่งได้ส่งผลมากต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทั่วโลก ก่อให้เกิดภาวะการเงินตึงตัว ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน
 
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอันหนึ่งคือปัญหาทางการเงินของกลุ่ม Big Three ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่อาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐฯ โดยเฉพาะบริษัท General Motors และ Chrysler ภาคธุรกิจอื่นๆที่อาจไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากเท่าอุตสาหกรรมข้างต้นต่างก็ประสบกับการชะลอตัวของความต้องการสินค้าและบริการอย่างชัดเจน

เปิดกลยุทธ์ปี 52

เมื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุนในปีหน้ากันไปแล้ว สิ่งที่จะนำมาพิจารณาต่อไปคือ กลยุทธ์ที่จะทำให้นักลงทุนสามารถฝ่าความผันผวนของการลงทุน โดยที่ยังมีผลตอบแทนติดไม้ติดมือกลับไปบ้างไม่มากก็น้อย

บลจ.ธนชาตเผยว่า ผู้จัดการกองทุน หรือจอมยุทธ์ของบริษัทจะเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวไม่มากนักต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อาทิธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก หรือเป็นธุรกิจที่มีความได้เปรียบในเชิงของต้นทุนการผลิตหรือสามารถบริหารต้นทุนได้ง่าย

ผู้จัดการกองทุน หรือจอมยุทธ์ของบริษัทจะเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวไม่มากนักต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อาทิธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก เป็นธุรกิจที่มีความได้เปรียบในเชิงของต้นทุนการผลิตหรือสามารถบริหารต้นทุนได้ง่าย

ในขณะเดียวกัน บริษัทที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนนั้นจะต้องมีกระแสเงินสดที่เข้มแข็งพอที่จะสามารถจ่ายเงินปันผล และประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงเศรษฐกิจถดถอยนี้ไปได้ ซึ่งความเข้มแข็งทางการเงินอาจนำมาซึ่งโอกาสในการเข้าไปซื้อกิจการของคู่แข่งที่มีฐานะการเงินด้อยกว่าได้

ทั้งนี้ บริษัทที่สนใจลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีกระบวนการผลิตที่ครบวงจร หรือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่จำเป็น เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิมากๆและมีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่เข้มแข็งพอ เนื่องจากเมื่อยามเศรษฐกิจฟื้นตัว บริษัทเหล่านี้จะสามารถสร้างผลการดำเนินงานกลับมาได้อย่างรวดเร็ว หรือหากเศรษฐกิจยังคงถดถอยต่อไปอีก บริษัทเหล่านี้ก็สามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่ยากลำบากเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ คุณภาพของบริษัทที่ลงทุนจึงมีความสำคัญอย่างมากในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงเช่นปัจจุบัน

กลยุทธ์ฝ่าหุ้นต่างประเทศ

สำหรับตลาดหุ้นในต่างประเทศ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่มากคาดว่าจะยังคงกดดันต่อภาวะการลงทุนทำให้ความผันผวนน่าจะอยู่ในระดับที่สูงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2009 แต่คาดว่าความผันผวนของภาวะตลาดน่าจะเริ่มน้อยลงในครึ่งปีหลังของปี 2009 เมื่อผู้ลงทุนได้ Discount ข่าวในด้านลบไปมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลของวิกฤติเศรษฐกิจที่ถดถอยนี้น่าจะคงอยู่ตลอดทั้งปี 2009 และการฟื้นตัวจะใช้เวลาค่อนข้างนานแม้ว่าจะมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในหลายๆประเทศแล้วก็ตาม ในระยะสั้นนี้ตลาดต่างประเทศยังมีความเสี่ยงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืด

ทั้งนี้ แม้ว่าหุ้นในต่างประเทศที่มีคุณภาพได้มีราคาลดต่ำกว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวอยู่มากและได้สะท้อนข่าวในด้านลบไปมากแล้ว แต่ก็จะมีผู้ลงทุนจำนวนมากที่ไม่ต้องการเข้าตลาดเป็นรายแรกเพราะความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงเกินไปและต้องการรอจนกว่าตลาดจะนิ่งขึ้นและเห็นภาพเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่านี้ ครึ่งปีหลังของปี 2009

สำหรับแนวคิดการลงทุนที่น่าจะเหมาะสมในตลาดต่างประเทศนั้น บลจ.ธนชาตมองว่าคือ Value play โดยอาจจะเน้นหุ้น Large cap มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มีลักษณะของ defensive ผสมผสานกับหุ้นที่ Undervalued มาก มีอัตราการจ่าย dividend ดี หรือเป็นธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ง่ายต่อสภาพเศรษฐกิจเป็นต้น

ทราบกันแล้วว่าจอมยุทธ์ของสำนักนี้มีกระบวนท่าอะไรบ้างในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการลงทุนที่ผันผวนจากปัญหาดังกล่าว ส่วนนักลงทุนจะตัดสินใจอย่างไรก็ดูตามความเสี่ยงที่ตนเองรับได้น่าจะเหมาะสมที่สุด ส่วนรายงานนี้คงจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจได้บ้าง ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น คงจะมีการนำเสนอในครั้งต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น