ผู้จัดการรายวัน-บลจ.ฟิลลิป มั่นใจกองทุน "ฟิลลิปบริหารเงิน" ผลตอบแทนดีสมํ่าเสมอ แม้เม็ดเงินกองทุนจะหดลงเหลือ 90 ล้านบาทจากก่อนหน้านี้ที่มีกว่า 250 ล้านบาท ผู้บริหารยํ้ากองทุนยังให้ผลตอบแทนอยู่ในอันดับต้นมาโดยตลอด พร้อมเผยกลยุทธ์เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงต่ำและความมั่นคงสูง
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนฟิลลิปบริหารเงิน(PCASH) เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยกองทุนได้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านได้มีปัจจัยต่างๆเข้ามามีส่วนร่วม อีกทั้งได้ประสบกับช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลดลง จึงส่งผลให้นักลงทุนมีการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในเงินฝากแทน ทำให้กองทุนมีขนาดลดลงมาเหลือประมาณ 90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% ขณะเดียวกันส่งผลให้มูลค่าเอ็นเอวีของกองทุนลดลงไปประมาณ 2-3 เท่า
"สำหรับกองทุน PCASH เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนดี โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมากองPCASH มีผลการดำเนินงานที่โตขึ้นอย่างสม่ำเสมอไม่ได้เติบโตขึ้นแบบพรวดเดียว อีกทั้งกองทุนการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทจะเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความสม่ำเสมอตลอดมา ซึ่งเมื่อนำผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาดูจะพบว่ากองทุน PCASH จะมีการเติบโตที่ต่อเนื่องและสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนอยู่ในอันดับ 1 หรือ 2 มาโดยตลอดจะมีลดอันดับมาบ้างเป็นบางช่วงเท่านั้น คือช่วงที่ธนาคารพาณิชย์เร่งระดมเงินฝาก หรือช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินสหรัฐ "นายวรรธนะกล่าว
ทั้งนี้ในส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2551 พบว่าผลการดำเนิงานย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 3.49% ขณะที่เกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.30% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนของกองทุนอยู่ที่ 3.34% ขณะที่เกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.41% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.12% เทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.59% และมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.08% เทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.65%
ขณะเดียวกัน กองทุนPCASH เน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือ เงินฝาก หรือตราสารการเงินอื่นใดที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนไม่เกิน 1 ปี นับ ตั้งแต่วันที่ลงทุน รวมทั้งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอืน หรือการหาดอกผล โดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด หรือให้ความเห็นชอบลงทุนได้ ทั้งนี้ กองทุนจะดำรงพอร์ตโฟลิโอ ดูเรชั่น (Portfolio Duration) ของกองทุน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 6 เดือน นอกจากนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes)
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปร่วมลงทุนนั้น บริษัทจะเน้นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง ถึงแม้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้จะให้ผลตอบแทนไม่มากนัก แต่เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่มีความปลอดภัยสำหรับเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุน
โดยกองทุนได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนเน้นซึ่งจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่ออกโดยรัฐบาลหรือเงินฝาก เนื่องจากมีความไม่มีความเสี่ยงและบริษัทมีความชัดเจนของสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ สำหรับกองทุนมีตราสารหนี้ 5 อันดับแรกของผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุน ได้แก่ อันดับ1.พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 42.32% อันดับ 2 เงินฝากธนาคาร ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด(มหาชน)ในสัดส่วน 25.60% อันดับ 3 เงินฝากบริษัทเงินทุน สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)ในสัดส่วน อันดับ4 บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส(ประเทศไทย)จำกัด ในสัดส่วน 7.17% อันดับ5 เงินฝากธนาคาร อาร์เอชบี จำกัด สาขากรุงเทพฯ ในสัดส่วน 7.01% รวมทั้งหมด 99.01% นอกจากนี้ สามารถแบ่งสัดส่วนประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุนได้แก่ อันดับ1 ลงทุนในเงินฝากสถาบันการเงิน ในสัดส่วน 55.05% อันดับ 2 ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 49.29% อันดับ 3 ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงินในสัดส่วน 9.85% และอันดับ 4 ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนระยะสั้น(AAA)ในสัดส่วน 7.17% รวมทั้งหมด 121.36%
"สำหรับการเลือกลงทุนนั้น นักลงทุนควรที่จะศึกษาข้อมูลการลงทุนของสินทรัพย์ที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุนถึงสินทรัพย์ที่กองทุนต่างๆเข้าไปลงทุนนั้น มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน สามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนเพียงใด อีกทั้งมีความชัดเจนของสินทรัพย์ที่ลงทุนมากน้อยเพียงใด" นายวรรธนะ กล่าว
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนฟิลลิปบริหารเงิน(PCASH) เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยกองทุนได้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านได้มีปัจจัยต่างๆเข้ามามีส่วนร่วม อีกทั้งได้ประสบกับช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลดลง จึงส่งผลให้นักลงทุนมีการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในเงินฝากแทน ทำให้กองทุนมีขนาดลดลงมาเหลือประมาณ 90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% ขณะเดียวกันส่งผลให้มูลค่าเอ็นเอวีของกองทุนลดลงไปประมาณ 2-3 เท่า
"สำหรับกองทุน PCASH เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนดี โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมากองPCASH มีผลการดำเนินงานที่โตขึ้นอย่างสม่ำเสมอไม่ได้เติบโตขึ้นแบบพรวดเดียว อีกทั้งกองทุนการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทจะเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความสม่ำเสมอตลอดมา ซึ่งเมื่อนำผลการดำเนินงานตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาดูจะพบว่ากองทุน PCASH จะมีการเติบโตที่ต่อเนื่องและสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนอยู่ในอันดับ 1 หรือ 2 มาโดยตลอดจะมีลดอันดับมาบ้างเป็นบางช่วงเท่านั้น คือช่วงที่ธนาคารพาณิชย์เร่งระดมเงินฝาก หรือช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินสหรัฐ "นายวรรธนะกล่าว
ทั้งนี้ในส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2551 พบว่าผลการดำเนิงานย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 3.49% ขณะที่เกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.30% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนของกองทุนอยู่ที่ 3.34% ขณะที่เกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.41% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.12% เทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.59% และมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.08% เทียบกับเกณฑ์มาตราฐาน BENCHMARK อยู่ที่ 1.65%
ขณะเดียวกัน กองทุนPCASH เน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ และ/หรือ เงินฝาก หรือตราสารการเงินอื่นใดที่มีกำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม หรือจะครบกำหนดชำระคืนไม่เกิน 1 ปี นับ ตั้งแต่วันที่ลงทุน รวมทั้งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอืน หรือการหาดอกผล โดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด หรือให้ความเห็นชอบลงทุนได้ ทั้งนี้ กองทุนจะดำรงพอร์ตโฟลิโอ ดูเรชั่น (Portfolio Duration) ของกองทุน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 6 เดือน นอกจากนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes)
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปร่วมลงทุนนั้น บริษัทจะเน้นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง ถึงแม้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้จะให้ผลตอบแทนไม่มากนัก แต่เป็นการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่มีความปลอดภัยสำหรับเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุน
โดยกองทุนได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนเน้นซึ่งจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่ออกโดยรัฐบาลหรือเงินฝาก เนื่องจากมีความไม่มีความเสี่ยงและบริษัทมีความชัดเจนของสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ สำหรับกองทุนมีตราสารหนี้ 5 อันดับแรกของผู้ออกตราสารที่กองทุนลงทุน ได้แก่ อันดับ1.พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 42.32% อันดับ 2 เงินฝากธนาคาร ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด(มหาชน)ในสัดส่วน 25.60% อันดับ 3 เงินฝากบริษัทเงินทุน สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)ในสัดส่วน อันดับ4 บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส(ประเทศไทย)จำกัด ในสัดส่วน 7.17% อันดับ5 เงินฝากธนาคาร อาร์เอชบี จำกัด สาขากรุงเทพฯ ในสัดส่วน 7.01% รวมทั้งหมด 99.01% นอกจากนี้ สามารถแบ่งสัดส่วนประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุนได้แก่ อันดับ1 ลงทุนในเงินฝากสถาบันการเงิน ในสัดส่วน 55.05% อันดับ 2 ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 49.29% อันดับ 3 ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงินในสัดส่วน 9.85% และอันดับ 4 ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนระยะสั้น(AAA)ในสัดส่วน 7.17% รวมทั้งหมด 121.36%
"สำหรับการเลือกลงทุนนั้น นักลงทุนควรที่จะศึกษาข้อมูลการลงทุนของสินทรัพย์ที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุนถึงสินทรัพย์ที่กองทุนต่างๆเข้าไปลงทุนนั้น มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน สามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนเพียงใด อีกทั้งมีความชัดเจนของสินทรัพย์ที่ลงทุนมากน้อยเพียงใด" นายวรรธนะ กล่าว
