บลจ.กสิกรไทย เผยกองเกาหลีทยอยครบกำหนด ประเดิมรุ่น 6 เดือน 16 ธันวาคมนี้ ให้ยิลด์ 3.25% ต่อปี พร้อมแนะนักลงทุนพักเงินใน K-TREASURY ก่อนตัดสินใจลงทุนต่อ ระบุปีหน้าปรับการลงทุนเล็งพันธบัตรในประเทศ และติดตามช่องทางอื่นเพิ่มเพื่อเสนอนักลงทุน ยอมรับเอยูเอ็มอาจวูบหากไม่มีกองทุนใหม่ทดแทน
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิด เค พันธบัตรเกาหลี เอ และ เค พันธบัตรเกาหลี บี ได้ทำการแจ้งต่อผู้ลงทุนรับทราบว่า บริษัทจะทำการโอนเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดโดยอัตโนมัติในวันที่ 16 ธันวาคม 2551 และในวันที่ 17 ธันวาคม2551 บริษัทจะดำเนินงานโอนเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย หรือซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน เปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้น(K-TREASURY) ตามที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้แจ้งไว้พร้อมกับการเปิดบัญชีกองทุน
โดยผลตอบแทนที่คาดการณ์ไว้ในกองทุนพันธบัตร เกาหลีใต้ ซึ่งออกไปก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ประมาณ 4.3% สำหรับกองที่มีอายุประมาณ 1 ปี ส่วนกองทุนที่ครบกำหนดทั้ง 2 กองนี้จะมีผลตอบแทนประมาณ 3.25% ต่อปี หลังหักค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ
ทั้งนี้ กองทุนพันธบัตรเกาหลี มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเงินส่วนที่เหลือ อาทิ เงินที่สำรองไว้สำหรับการดำเนินงานรอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน จะนำมาลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายในประเทศ อาทิ เงินฝาก ตราสารทางการเงิน และตราสารแห่งหนี้ รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมายก.ล.ต.
สำหรับกองทุนประเภทนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา โดยมาทดแทนกองทุนตราสารหนี้ทวีปยุโรปที่ทยอยครบอายุไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเฉพาะบลจ.กสิกรไทยแห่งเดียวมียอดลงทุนรวมแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 23 กองทุน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุโครงการ 1 ปี ส่วนกองทุนที่ครบกำหนดนั้นมีอายุโครงการประมาณ 6 เดือน
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การครบกำหนดของกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ ในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีทยอยครบกำหนดอีกตามลำดับเหมือนกับกองทุนตราสารหนี้ทวีปยุโรป(ECP)
ขณะเดียวกันหลังจากกองทุนประเภทนี้ทยอยครบกำหนดจนครบทุกกองทุนแล้ว บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ที่ลดลงได้ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกองทุนอื่นที่เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน โดยขณะนี้บริษัทยังติดตามสถานการณ์ด้านการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง
“คงต้องดูสถานการณ์ช่วงต้นปีหน้า ว่ายิลด์พันธบัตรในประเทศเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยมันก็ลงมาระดับหนึ่งแล้ว โดยเราคงต้องเฝ้ารอโอกาสต่อไป เพราะบ้างครั้งมันก็ไม่มาบ่อย บ้างคนที่ลงไว้เกิน 1 ปีก็อาจจะดีกว่า”นายเกษตรกล่าว
อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ทราบว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไร บริษัทอยากแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-TREASURY ไว้ก่อนเนื่องจากเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และสภาพคล่องสูงเช่นเดียวกับเงินฝาก แต่มีผลตอนแทนที่สูงกว่า
นายเกษตร กล่าวอีกว่า ในส่วนของกองทุนต่างประเทศนั้นคงจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะประเทศเกาหลีใต้เองก็พึ่งมีการปรับลดดอกเบี้ยเมื่อในนานมานี้ ส่วนการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีหน้านั้น เชื่อว่าคงกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวมพอสมควร แต่คงจะเป็นบางช่วงเวลาเท่านั้น
“เวลาแบงก์ระดมเงินฝากมันกระทบไปหมดอยู่แล้ว แต่เขาก็ทำเป็นช่วงๆ เท่านั้น อีกทั้งยังต้องดูในเรื่องยิลด์อีกด้วยว่ามากน้อยกว่ากันแค่ไหน”นายเกษตรกล่าว
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิด เค พันธบัตรเกาหลี เอ และ เค พันธบัตรเกาหลี บี ได้ทำการแจ้งต่อผู้ลงทุนรับทราบว่า บริษัทจะทำการโอนเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดโดยอัตโนมัติในวันที่ 16 ธันวาคม 2551 และในวันที่ 17 ธันวาคม2551 บริษัทจะดำเนินงานโอนเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย หรือซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน เปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้น(K-TREASURY) ตามที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้แจ้งไว้พร้อมกับการเปิดบัญชีกองทุน
โดยผลตอบแทนที่คาดการณ์ไว้ในกองทุนพันธบัตร เกาหลีใต้ ซึ่งออกไปก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ประมาณ 4.3% สำหรับกองที่มีอายุประมาณ 1 ปี ส่วนกองทุนที่ครบกำหนดทั้ง 2 กองนี้จะมีผลตอบแทนประมาณ 3.25% ต่อปี หลังหักค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ
ทั้งนี้ กองทุนพันธบัตรเกาหลี มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยเงินส่วนที่เหลือ อาทิ เงินที่สำรองไว้สำหรับการดำเนินงานรอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน จะนำมาลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายในประเทศ อาทิ เงินฝาก ตราสารทางการเงิน และตราสารแห่งหนี้ รวมถึงหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมายก.ล.ต.
สำหรับกองทุนประเภทนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา โดยมาทดแทนกองทุนตราสารหนี้ทวีปยุโรปที่ทยอยครบอายุไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเฉพาะบลจ.กสิกรไทยแห่งเดียวมียอดลงทุนรวมแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 23 กองทุน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุโครงการ 1 ปี ส่วนกองทุนที่ครบกำหนดนั้นมีอายุโครงการประมาณ 6 เดือน
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การครบกำหนดของกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ ในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีทยอยครบกำหนดอีกตามลำดับเหมือนกับกองทุนตราสารหนี้ทวีปยุโรป(ECP)
ขณะเดียวกันหลังจากกองทุนประเภทนี้ทยอยครบกำหนดจนครบทุกกองทุนแล้ว บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ที่ลดลงได้ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกองทุนอื่นที่เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน โดยขณะนี้บริษัทยังติดตามสถานการณ์ด้านการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง
“คงต้องดูสถานการณ์ช่วงต้นปีหน้า ว่ายิลด์พันธบัตรในประเทศเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งตอนนี้อัตราดอกเบี้ยมันก็ลงมาระดับหนึ่งแล้ว โดยเราคงต้องเฝ้ารอโอกาสต่อไป เพราะบ้างครั้งมันก็ไม่มาบ่อย บ้างคนที่ลงไว้เกิน 1 ปีก็อาจจะดีกว่า”นายเกษตรกล่าว
อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ทราบว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไร บริษัทอยากแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-TREASURY ไว้ก่อนเนื่องจากเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และสภาพคล่องสูงเช่นเดียวกับเงินฝาก แต่มีผลตอนแทนที่สูงกว่า
นายเกษตร กล่าวอีกว่า ในส่วนของกองทุนต่างประเทศนั้นคงจะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะประเทศเกาหลีใต้เองก็พึ่งมีการปรับลดดอกเบี้ยเมื่อในนานมานี้ ส่วนการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีหน้านั้น เชื่อว่าคงกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวมพอสมควร แต่คงจะเป็นบางช่วงเวลาเท่านั้น
“เวลาแบงก์ระดมเงินฝากมันกระทบไปหมดอยู่แล้ว แต่เขาก็ทำเป็นช่วงๆ เท่านั้น อีกทั้งยังต้องดูในเรื่องยิลด์อีกด้วยว่ามากน้อยกว่ากันแค่ไหน”นายเกษตรกล่าว
