ข่าวใหญ่และน่าสนใจที่สุดในช่วงสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้น"การเมือง" ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆดำเนินไปอย่างเข้มข้นนาทีต่อนาทีและถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งทั้งประเทศกำลังให้ความสนใจอย่างมาก ภายหลังจากการตัดสินยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 ลงไปและมีผลทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหมดอำนาจลงตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือการตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในอดีตพรรคพลังประชาชนได้เข้าสังกัดพรรคใหม่ และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า ในรอบนี้พรรคการเมืองที่จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ อาจจะไม่ใช่คนฝั่งเดิม แม้ว่าจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ในนาม "พรรคเพื่อไทย" ออกมารองรับก็ตาม แต่กลับเป็นทางฟากของฝ่ายค้านอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ที่รอบนี้สามารถเป็นแกนนำพรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลแทน ถือเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า "เปลี่ยนขั้วอำนาจ" และมีความน่าสนใจมิใช่น้อย หากเรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริง
อย่างที่ทราบกันมาตลอดในช่วงเกือบๆ ปีที่ผ่านมาที่การเมืองในประเทศไม่ได้สงบนิ่ง อันเนื่องมาจากปัญหาของรัฐบาลที่บริหารงานด้วยความไม่ชอบธรรมต่างๆนานาจนเกิดการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่ของกลุ่มภาคประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยทางในเรื่องนี้ส่งผลถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเสียงที่สะท้อนออกมาในช่วงหลังที่มีการเมืองเริ่มมีความรุนแรงขึ้นนั้น คือเสียงสะท้อนของทางภาคส่วนธุรกิจเอกชนที่เรียกร้องให้รัฐบาลนั้นลาออก หรือไม่ก็ยุบสภาเพื่อเป็นการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนให้ได้มีการเลือกตั้งใหม่ ดโญเสียงเรียกร้องของภาคเอกชนนี้ เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาอีกเมื่อ พรรคประชาธิปัตย์สามารถเรียกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตาม แม้ทุกอย่าง ทุกปัญหาของการเมืองยังไม่มีทีท่าหยุดนิ่ง ชัดเจน หรือได้ข้อยุติอย่างถ่องแท้ กระแสการตอบรับรัฐบาลใหม่ที่มาจากพรรคการเมืองเก่าแก่ของประเทศ ก็เริ่มได้ยินและได้เห็นออกมาเป็นระลอก จึงเป็นเรื่องและคำถามที่น่าคิดว่า หาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว คนในวงการการลงทุนมีความเคิดเห็นอย่างไร
วนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด มีความเห็นว่า ส่วนตัวอยากได้รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศแล้วสามารถทำให้บ้านเมืองสงบสุข รวมถึงลดความขัดแย้งทางความคิดลงไปได้ ซึ่งก็จะทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นแล้วจะเป็นรัฐบาลที่มาจากฝั่งไหนก็ได้ แต่ก็ขอให้ภาคเศรษฐกิจและภาคการลงทุนสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้หลายฝ่ายอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ฉะนั้นการขึ้นมาเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปปัตย์หากเป็นไปได้จริงนั้น ถือว่าเป็นความหวังใหม่สำหรับทุกภาคส่วนและคาดการณ์ด้วยว่าน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ต้องให้เวลารวมถึงโอกาสสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและเริ่มเห็นผลที่ตามมาอย่างต่อเนื่อง
วนา พูนผล ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองเพราะทางประชาธิปัตย์เองก็มีสมาชิกพรรคที่มีความสามารถอย่าง กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา ซึ่งในอดีต กรณ์ เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจหากได้เข้ามาทำงานในด้านเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วเรื่องหลักๆที่ตนเองอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาดูแลก็คือในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเรื่องของปัญหาการว่างงานที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า โดยทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ควรเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังได้ส่งเสียงไปถึงกลุ่มคนเสื้อสีด้วยว่า หากจะออกมาชุมนุมควรจะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติด้วย
ด้าน กำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนขาย บลจ. ทหารไทย จำกัด บอกว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลสิ่งที่อยากเห็นคือการดำเนินงานในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภายในประเทศ การส่งเสริมการลงทุน การกำกับดูแลตลาดทุน รวมถึงนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลที่จะขึ้นมาทำหน้าที่นั้นควรรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะลำพังรัฐบาลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามลำพัง และความคิดเห็นที่แตกต่างนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งรัฐบาลควรที่จะรับฟังเพื่อเป็นแนวทางและความเห็นประกอบการทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่า รัฐบาลนั้นเป็นของคนไทยทุกคนไม่ควรที่จะมีการแบ่งสีเสื้อเกิดขึ้นอีก
เสียงสะท้อนที่ดังออกมาจากภาคส่วนธุรกิจคงเป็นที่ชัดเจน ถึงความต้องการสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความสงบ และรัฐบาลสามารถเดินหน้าในการบริหารประเทศต่อไปได้โดยไม่มีความขัดแย้ง ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับในยามนี้ที่เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะถดถอย การได้เห็นรัฐบาลที่ทำหน้าที่ปากท้องของประชาชนมากกว่าความต้องการของตนเองและพวกพ้อง ถือว่าเป็นความหวังสำคัญที่ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งอยากได้จากรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และทำตามที่นักการเมืองทั้งหลายนี้ได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่า มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ