ก.ล.ต. ใจดี ออกประกาศแก้อุปสรรคกองทุนรวม 3 ข้อ ปลดล็อกขายแอลทีเอฟปีละ 2 ครั้ง พร้อมเพิ่มทางเลือกลงทุนสินทรัพย์หลากหลายขึ้น มีผล 15 ธ.ค.นี้ นอกจากนี้ ยังให้สิทธิบลจ. ตัดสินใจยุบหรือเดินหน้าลงทุนต่อ สำหรับกองทุนที่มียอดไอพีโอต่ำกว่า 50 ล้านบาท ส่วนกองทุนต่างประเทศ ไฟเขียวหยุดรับคำสั่งซื้อ-ขาย หลังภาวะการลงทุนผันผวนหนักทั่วโลก
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงานได้ออกประกาศเกี่ยวกับธุรกิจจัดการกองทุน จำนวน 3 ฉบับ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจและคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยมีผลใช้บังคับในเดือนธันวาคมนี้ โดยสาระสำคัญของประกาศทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวประกอบด้วย การจัดตั้งกองทุนรวมและการเข้าทำสัญญารับจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยได้อนุญาตเพิ่มเติมให้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) สามารถถือหรือลงทุนในตราสารทุนซึ่งมีผลตอบแทนของตราสารอ้างอิงกับผลตอบแทนของหุ้นหรือกลุ่มหุ้นของบริษัทจดทะเบียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV) จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้ง ยกเลิกการกำหนดระยะเวลาการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน LTF ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง ไม่ว่าผู้ถือหน่วยลงทุนจะถือหน่วยลงทุนครบหรือไม่ครบตามเงื่อนไข 5 ปีปฏิทินก็ตาม
โดยการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการคืนประโยชน์ทางภาษีและจ่ายเบี้ยปรับเมื่อผิดเงื่อนไขยังเป็นไปตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในการขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามความเหมาะสม ตามเวลาที่ บลจ. จะกำหนดต่อไป โดยประกาศฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
สำหรับประกาศฉบับที่ 2 กำหนดให้ยกเลิกเหตุในการอนุมัติการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมสิ้นสุดลง เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมครั้งแรก (initial public offering: IPO) ได้ไม่ถึง 50 ล้านบาท และยกเว้นให้กองทุนเปิดที่มีการเสนอขายครั้งเดียว และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามคำสั่งล่วงหน้าซึ่งระบุเวลาไว้แน่นอน (auto redemption) ไม่ต้องจัดทำหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปใหม่ทุกรอบระยะเวลาบัญชี เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีการเสนอขายเพียงครั้งเดียว โดยประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551
นอกจากนี้ ยังได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดการกองทุนเพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 3 ซึ่งอนุญาตให้บริษัทจัดการสามารถไม่ขาย ไม่รับซื้อคืน หรือหยุดรับคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุน ของกองทุนเปิดที่มีการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศได้ ในกรณีที่กองทุนรวมต่างประเทศดังกล่าวหยุดรับคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุน และยังได้ยกเลิกแหตุในการเลิกกองทุนรวม กรณีกองทุนรวมมีมูลค่าหรือขนาดต่ำกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทจัดการได้ใช้ดุลยพินิจตามความเหมาะสมเมื่อเทียบกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าควรจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมที่มีมูลค่าน้อยอยู่ต่อไปหรือไม่ รวมทั้งกำหนดให้การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมกรณีกองทุนรวมมีมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาทเป็นอัตราร้อยละของมูลค่าทรัพย์สินหรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551
ขณะเดียวกัน สำนักงาน ก.ล.ต. กำลังอยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จำกัดเฉพาะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกี่ยวกับทองคำ (gold futures) โดยให้ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปี ในช่วงระยะเวลา 5 ปีก่อนยื่นคำขอ และผ่านการทดสอบ
หลักสูตรเฉพาะของ gold futures และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (ไม่ต้องทดสอบความรู้เกี่ยวกับตราสารประเภทอื่น) สามารถยื่นคำขอความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จำกัดเฉพาะ gold futures ได้ เพื่อให้รองรับกับการที่สำนักงาน ก.ล.ต. เปิดให้ใบอนุญาตตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives Broker) และการเป็นตัวแทนสนับสนุน (Selling Agents) แก่ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำ
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับความเห็นชอบให้เป็นผู้ติดต่อดังกล่าวจะต้องขอความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภท ข ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานต่อเนื่องต่อไปได้ โดย ก.ล.ต. ได้จัดทำและเผยแพร่เอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็นไว้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต.(www.sec.or.th) และขอเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ดังกล่าว หรือทางโทรสารหมายเลข 0-2263-6332 หรือทาง e-mail ที่ inva@sec.or.th ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2551
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงานได้ออกประกาศเกี่ยวกับธุรกิจจัดการกองทุน จำนวน 3 ฉบับ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจและคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นสำคัญ โดยมีผลใช้บังคับในเดือนธันวาคมนี้ โดยสาระสำคัญของประกาศทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวประกอบด้วย การจัดตั้งกองทุนรวมและการเข้าทำสัญญารับจัดการกองทุนส่วนบุคคล โดยได้อนุญาตเพิ่มเติมให้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) สามารถถือหรือลงทุนในตราสารทุนซึ่งมีผลตอบแทนของตราสารอ้างอิงกับผลตอบแทนของหุ้นหรือกลุ่มหุ้นของบริษัทจดทะเบียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV) จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้ง ยกเลิกการกำหนดระยะเวลาการรับซื้อคืนหน่วยลงทุน LTF ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง ไม่ว่าผู้ถือหน่วยลงทุนจะถือหน่วยลงทุนครบหรือไม่ครบตามเงื่อนไข 5 ปีปฏิทินก็ตาม
โดยการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการคืนประโยชน์ทางภาษีและจ่ายเบี้ยปรับเมื่อผิดเงื่อนไขยังเป็นไปตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในการขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามความเหมาะสม ตามเวลาที่ บลจ. จะกำหนดต่อไป โดยประกาศฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
สำหรับประกาศฉบับที่ 2 กำหนดให้ยกเลิกเหตุในการอนุมัติการจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมสิ้นสุดลง เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมครั้งแรก (initial public offering: IPO) ได้ไม่ถึง 50 ล้านบาท และยกเว้นให้กองทุนเปิดที่มีการเสนอขายครั้งเดียว และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามคำสั่งล่วงหน้าซึ่งระบุเวลาไว้แน่นอน (auto redemption) ไม่ต้องจัดทำหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปใหม่ทุกรอบระยะเวลาบัญชี เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีการเสนอขายเพียงครั้งเดียว โดยประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551
นอกจากนี้ ยังได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดการกองทุนเพิ่มเติมเป็นฉบับที่ 3 ซึ่งอนุญาตให้บริษัทจัดการสามารถไม่ขาย ไม่รับซื้อคืน หรือหยุดรับคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุน ของกองทุนเปิดที่มีการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศได้ ในกรณีที่กองทุนรวมต่างประเทศดังกล่าวหยุดรับคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุน และยังได้ยกเลิกแหตุในการเลิกกองทุนรวม กรณีกองทุนรวมมีมูลค่าหรือขนาดต่ำกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทจัดการได้ใช้ดุลยพินิจตามความเหมาะสมเมื่อเทียบกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าควรจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมที่มีมูลค่าน้อยอยู่ต่อไปหรือไม่ รวมทั้งกำหนดให้การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมกรณีกองทุนรวมมีมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาทเป็นอัตราร้อยละของมูลค่าทรัพย์สินหรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551
ขณะเดียวกัน สำนักงาน ก.ล.ต. กำลังอยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จำกัดเฉพาะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกี่ยวกับทองคำ (gold futures) โดยให้ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปี ในช่วงระยะเวลา 5 ปีก่อนยื่นคำขอ และผ่านการทดสอบ
หลักสูตรเฉพาะของ gold futures และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (ไม่ต้องทดสอบความรู้เกี่ยวกับตราสารประเภทอื่น) สามารถยื่นคำขอความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จำกัดเฉพาะ gold futures ได้ เพื่อให้รองรับกับการที่สำนักงาน ก.ล.ต. เปิดให้ใบอนุญาตตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives Broker) และการเป็นตัวแทนสนับสนุน (Selling Agents) แก่ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำ
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับความเห็นชอบให้เป็นผู้ติดต่อดังกล่าวจะต้องขอความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภท ข ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานต่อเนื่องต่อไปได้ โดย ก.ล.ต. ได้จัดทำและเผยแพร่เอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็นไว้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต.(www.sec.or.th) และขอเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ดังกล่าว หรือทางโทรสารหมายเลข 0-2263-6332 หรือทาง e-mail ที่ inva@sec.or.th ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2551