หันไปทางไหนตอนนี้ความหวั่นวิตกต่อสถานการณ์ทางการเมือง เป็นเรื่องถูกนำมาหยิบยกพูดกันในทุกวงสนทนา ทั้งในแบบวิชาการ หรือสภากาแฟข้างทางก็ไม่เว้นวาย
ความแตกแยกทางความคิดเห็นปรากฏขึ้นไปในทุกที่ แต่ก็ไม่เห็นด้วยถึงการต้องหยิบโน่น หยิบนี้มาฮั่มหั่นกันเอง
ตอนนี้ต่างชาติในหลายประเทศประกาศให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มาปลอดภัย ความเชื่อมในการลงทุนและการท่องเที่ยวปรับตัวลดลง…....แต่สิ่งที่อยากจะรู้ นั่นคือการเลิกยืนกระต่ายขาเดียวของผู้นำรัฐบาล จะเกิดขึ้นเมื่อไร ในเมื่อสังคมและกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยทั้งภาคธุรกิจและภาคราชการจำนวนไม่น้อย ออกมาเรียกร้องให้ยุบสภาแล้ว...สงสัยคงแก่เรียน แก่ประสบการณ์มากไปหน่อย จึงเข้าใจคำว่า “ประชาธิปไตย”ลึกเกินไป หรือติดนิสัยคนกฎหมายในอดีตมากนัก ถึงกับต้องอ้างมาตราโน้น วรรคนี้เป็นเหตุผลไม่จบสิ้น
เท่าที่ได้สอบถามผู้ที่ต้องทำธุรกิจติดต่อกับลูกค้าและนักลงทุนต่างประเทศแล้ว อยากจะสะกิดต่อมสำนึกสักนิดว่า ตอนนี้เขาไม่แคร์แล้วว่าไทยจะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติ เพราะค่ามันเท่ากันแล้ว ถึงคนในเครื่องแบบทั้ง 3 -4 สีจะตบเท้าถือปืนออกมาปัดกวาด ความน่าเชื่อถือก็ยังเท่ากับการเลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งมีแต่คนหน้าเดิมๆ หรือพวกทายาทอสูรกลับมาหลอกหลอนจิตใต้สำนึกอยู่ตามเดิมนั่นหมายถึงไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นเท่ากัน ถ้ายังหลงระเริงมัวเมาอยู่กับอำนาจจนปล่อยให้คนในชาติต้องโดนทำร้ายและตายไปต่อหน้าแบบไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ได้แล้ว...คุณก็ไม่เหมาะสมที่จะมีคุณสมบัติดูแลบริหารประเทศชาติได้อีกต่อไป
อีกทั้งแบบนี้...ถ้าตอนจบยังมีหน้าออกมาสำนึกผิด แม้จะใช้วิธีของลูกพระอาทิตย์อุทัย ผู้เกียรติ กระทำการฮาราคีรีตัวเองนั้น แค่คิดเอามือทั้งสองมากุมด้ามมีด คุณยังไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ทำเลย...อย่าเลย...อย่าทำให้วิธีที่ทรงเกียรติทรงความภาคภูมินี้ต้องแปดเปื้อนไปด้วยความปลิ้นปล้อนขอตนท่านเทอญ....!!!!!!
วกลับมาที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายหลายกระแสแล้วว่าไม่ส่งผลกระทบเข้ามาอย่างแน่นอน เพราะวิกฤตการเงินโลกช่วยปิดประตูความเสี่ยงสูงให้กับผู้ลงทุนเป็นที่เรียบร้อยไปก่อนแล้ว จนเรียกว่าปัจจุบันเหลือการลงทุนที่คนไว้ใจมากที่สุดเพียง 2 อย่างนั่นคือฝากเงินกับแบงก์ หรือซื้อพันธบัตรโดยตรง หรือผ่านทางกองทุนตราสารหนี้ของบลจ.ต่างๆ
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่ต้องพูดถึง เจ็บตัวกันไปหลายรายตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ยังไม่มีแววว่าจะมีใครออกมาชวนระดมทุนไปต่างแดนเพิ่มเติมเลย.....
สิ่งที่พูดกันในทุกวันนี้ ส่วนมากจะหนีไม่พ้นการออม การลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อ และมีความเสี่ยงต่ำ แต่ที่รับรู้มาล่าสุด พี่ติ๊ก โชติกา สวนานนท์หัวเรือใหญ่ค่ายทหารไทย นอกจากจะเป็นผู้บริหารในแวดวงกองทุนรวมแล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญในการดูเครื่องประดับอย่างเพชร เป็นอย่างมาก เรียกว่าระดับเซียนเลยก็ว่าได้ โดยมีมุมมองในการในการเลือกลงทุนเพชรดังนี้ คือจะต้องเป็นเพชรขนาดใหญ่เท่านั้น เนื่องจากหากลงทุนในเพชรที่มีขนาดเล็กก็ไม่แตกต่างจากการลงทุนในของที่เลียนแบบได้อย่างพวกคริสตัลนั่นเอง และที่สำคัญจะต้องมีใบรับรองด้วย ซึ่งใบรับรองก็จะเหมือนใบเบิกทางและรับประกันมูลค่าของตัวเพชรในอนาคตนั่นเอง นอกจากนี้ ยังต้องเลือกตั้งแต่สี เม็ด ขนาด กะรัต ตลอดจนเกรด เนื่องจากหากเป็นเพชรเกรดดี และไม่มีตำหนิจะสามารถช่วยมูลค่าเพิ่มให้กับเพชรเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งแรกที่พี่ติ๊ก เริ่มซื้อเพชรเม็ดแรกด้วยมูลค่า 6,000 บาท เป็นการซื้อจากเพื่อนร่วมงานนั่นเอง จากนั้นมาเริ่มศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองมากขึ้น จนทำให้มูลค่าเพชรที่เริ่มสะสมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีมูลค่านับ 10 ล้านบาทแล้ว โดยจะเป็นเงินออมก้อนสุดท้าย เพื่อเตรียมไว้สำหรับการวัยเกษียณนั่นเอง....อิจฉาจังเลย
“ต้นกล้า”
ความแตกแยกทางความคิดเห็นปรากฏขึ้นไปในทุกที่ แต่ก็ไม่เห็นด้วยถึงการต้องหยิบโน่น หยิบนี้มาฮั่มหั่นกันเอง
ตอนนี้ต่างชาติในหลายประเทศประกาศให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มาปลอดภัย ความเชื่อมในการลงทุนและการท่องเที่ยวปรับตัวลดลง…....แต่สิ่งที่อยากจะรู้ นั่นคือการเลิกยืนกระต่ายขาเดียวของผู้นำรัฐบาล จะเกิดขึ้นเมื่อไร ในเมื่อสังคมและกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยทั้งภาคธุรกิจและภาคราชการจำนวนไม่น้อย ออกมาเรียกร้องให้ยุบสภาแล้ว...สงสัยคงแก่เรียน แก่ประสบการณ์มากไปหน่อย จึงเข้าใจคำว่า “ประชาธิปไตย”ลึกเกินไป หรือติดนิสัยคนกฎหมายในอดีตมากนัก ถึงกับต้องอ้างมาตราโน้น วรรคนี้เป็นเหตุผลไม่จบสิ้น
เท่าที่ได้สอบถามผู้ที่ต้องทำธุรกิจติดต่อกับลูกค้าและนักลงทุนต่างประเทศแล้ว อยากจะสะกิดต่อมสำนึกสักนิดว่า ตอนนี้เขาไม่แคร์แล้วว่าไทยจะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติ เพราะค่ามันเท่ากันแล้ว ถึงคนในเครื่องแบบทั้ง 3 -4 สีจะตบเท้าถือปืนออกมาปัดกวาด ความน่าเชื่อถือก็ยังเท่ากับการเลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งมีแต่คนหน้าเดิมๆ หรือพวกทายาทอสูรกลับมาหลอกหลอนจิตใต้สำนึกอยู่ตามเดิมนั่นหมายถึงไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นเท่ากัน ถ้ายังหลงระเริงมัวเมาอยู่กับอำนาจจนปล่อยให้คนในชาติต้องโดนทำร้ายและตายไปต่อหน้าแบบไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ได้แล้ว...คุณก็ไม่เหมาะสมที่จะมีคุณสมบัติดูแลบริหารประเทศชาติได้อีกต่อไป
อีกทั้งแบบนี้...ถ้าตอนจบยังมีหน้าออกมาสำนึกผิด แม้จะใช้วิธีของลูกพระอาทิตย์อุทัย ผู้เกียรติ กระทำการฮาราคีรีตัวเองนั้น แค่คิดเอามือทั้งสองมากุมด้ามมีด คุณยังไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ทำเลย...อย่าเลย...อย่าทำให้วิธีที่ทรงเกียรติทรงความภาคภูมินี้ต้องแปดเปื้อนไปด้วยความปลิ้นปล้อนขอตนท่านเทอญ....!!!!!!
วกลับมาที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายหลายกระแสแล้วว่าไม่ส่งผลกระทบเข้ามาอย่างแน่นอน เพราะวิกฤตการเงินโลกช่วยปิดประตูความเสี่ยงสูงให้กับผู้ลงทุนเป็นที่เรียบร้อยไปก่อนแล้ว จนเรียกว่าปัจจุบันเหลือการลงทุนที่คนไว้ใจมากที่สุดเพียง 2 อย่างนั่นคือฝากเงินกับแบงก์ หรือซื้อพันธบัตรโดยตรง หรือผ่านทางกองทุนตราสารหนี้ของบลจ.ต่างๆ
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศไม่ต้องพูดถึง เจ็บตัวกันไปหลายรายตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ยังไม่มีแววว่าจะมีใครออกมาชวนระดมทุนไปต่างแดนเพิ่มเติมเลย.....
สิ่งที่พูดกันในทุกวันนี้ ส่วนมากจะหนีไม่พ้นการออม การลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อ และมีความเสี่ยงต่ำ แต่ที่รับรู้มาล่าสุด พี่ติ๊ก โชติกา สวนานนท์หัวเรือใหญ่ค่ายทหารไทย นอกจากจะเป็นผู้บริหารในแวดวงกองทุนรวมแล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญในการดูเครื่องประดับอย่างเพชร เป็นอย่างมาก เรียกว่าระดับเซียนเลยก็ว่าได้ โดยมีมุมมองในการในการเลือกลงทุนเพชรดังนี้ คือจะต้องเป็นเพชรขนาดใหญ่เท่านั้น เนื่องจากหากลงทุนในเพชรที่มีขนาดเล็กก็ไม่แตกต่างจากการลงทุนในของที่เลียนแบบได้อย่างพวกคริสตัลนั่นเอง และที่สำคัญจะต้องมีใบรับรองด้วย ซึ่งใบรับรองก็จะเหมือนใบเบิกทางและรับประกันมูลค่าของตัวเพชรในอนาคตนั่นเอง นอกจากนี้ ยังต้องเลือกตั้งแต่สี เม็ด ขนาด กะรัต ตลอดจนเกรด เนื่องจากหากเป็นเพชรเกรดดี และไม่มีตำหนิจะสามารถช่วยมูลค่าเพิ่มให้กับเพชรเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งแรกที่พี่ติ๊ก เริ่มซื้อเพชรเม็ดแรกด้วยมูลค่า 6,000 บาท เป็นการซื้อจากเพื่อนร่วมงานนั่นเอง จากนั้นมาเริ่มศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองมากขึ้น จนทำให้มูลค่าเพชรที่เริ่มสะสมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีมูลค่านับ 10 ล้านบาทแล้ว โดยจะเป็นเงินออมก้อนสุดท้าย เพื่อเตรียมไว้สำหรับการวัยเกษียณนั่นเอง....อิจฉาจังเลย
“ต้นกล้า”