บลจ.เอ็มเอฟซี ใส่เงินกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ อีก 355 ล้านบาท ในบริษัทผลิตเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียมที่ใช้ในแบตเตอรี่ ระบุพลังงานทดแทนนวัตกรรมใหม่ ประหยัดต้นทุนได้ถึง 30 เท่า คาดการณ์ผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุน 25% พร้อมตั้งเป้าปีหน้า ใส่เงินลงทุนเพิ่มอีก 800 ล้านบาทใน 4 บริษัท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ ภายใต้การบริหารของเอ็มเอฟซี ได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนในบริษัท เซลเลนเนียม (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นจำนวนเงิน 355 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 3,230 ล้านบาท โดยกองทุนมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวในสัดส่วน 20%
สำหรับบริษัท เซลเลนเนียม (ไทยแลนด์) ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมทางเลือกใหม่สำหรับเก็บและสร้างพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะปฏิวัติการใช้พลังงานหมุนเวียนของชาติ ด้วยเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow หรือระบบเทคโนโลยีเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียม ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนเฉลี่ยประมาณ 25%
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการลงทุนครั้งที่สามของกองทุน หลังจากได้ลงทุนไปแล้วใน บริษัท อีเอสเทอร์ จำกัด (E-Ester) ซึ่งเป็นบริษัทค้นคว้า วิจัย และผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพประเภท “ไบโอดีเซล” โดยกองทุนฯ เข้าไปลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท แห่งที่สองได้แก่ บริษัท Impress Ethanol และบริษัท Impress Farming ซึ่งเป็นบริษัทผลิต “เอธานอล” ที่มีกำลังการผลิต 200,000 ลิตรต่อวัน และปลูกมันสำปะหลังซึ่งให้ผลผลิตกว่า 16 ตันต่อไร่ โดยกองทุนฯ เข้าไปลงทุนประมาณ 280 ล้านบาทจากมูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท
นายพิชิตกล่าวว่า การลงทุนทั้งหมดในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งสัดส่วนการลงทุนทั้งหมดคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าโครงการที่สามารถระดมทุนประมาณ 2,456 ล้านบาท โดยในปีหน้า บริษัทตั้งเป้าจะลงทุนเพิ่มในบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนอีก 4 บริษัท คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท
นายกฤษฎา กัมปนาทแสนยากร ประธานกรรมการ บริษัทเซลเลนเนียม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้คิดค้น ระบบเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow ด้วยเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียม เปิดเผยว่า การเซ็นสัญญาในครั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ เป็นอย่างดี ทั้งนี้ กองทุนฯ ได้ลงทุนในโครงการเป็นจำนวน 355 ล้านบาท และมีระยะเวลาการลงทุน 10 ปี
สำหรับเชื้อเพลงแวนเนเดียม มีลักษณะเป็นของเหลว ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้เติมในแบตเตอร์รี่แทนการใช้โลหะหรือน้ำกรด ซึ่งสารเคมีชนิดนี้ สามารถใช้งานได้นานกว่าแบตเตอร์รี่ทั่วไปถึง 30 เท่า ทำให้ช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานได้ค่อนข้างมาก
ส่วนการดำเนินการต่อไป บริษัท เซลเลนเนียม ฯ จะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแวนเนเดียมเรด๊อกซ์แบตเตอรี่ และตั้งโรงไฟฟ้า VSPP ขนาด 20 เมกะวัตต์ จำนวน 2 แห่ง ซึ่งจะเป็นโรงงานไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้แก่ โซล่าร์เซลล์ และไบโอแก๊สสาหร่าย โดยโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งจะตั้งอยู่ที่รังสิตคลอง 8 และที่โครงการ ฮอร์ท ชูพอยส์ พัทยา นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ จะมีการพัฒนานำเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียม เข้าไปใช้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มุ่งเรื่องการประหยัดพลังงานไฟฟ้าอีกหลายโครงการ
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการกลยุทธ์กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ กล่าวเสริมว่า ปัจจัยหลักสำหรับการเข้าร่วมลงทุนในบริษัท เซลเลนเนียม ได้แก่จุดเด่นด้านนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเป็นเวลากว่า 20 ปี ซึ่งได้มีการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้ผ่านการพิสูจน์ในระดับห้องปฏิบัติการ และการทดสอบใช้งานจริงแล้ว นอกจากนี้ เซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียมสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับพลังงานทดแทนได้หลายประเภท เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานไบโอแก๊สจากสาหร่าย ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้า และลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า
ทั้งนี้ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ (MFC Energy Fund) ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 อายุกองทุน 10 ปี โดยระดมทุนจากนักลงทุนสถาบัน ทั้งในกลุ่มสถาบันการเงิน นักลงทุนสถาบัน และกลุ่มธุรกิจพลังงาน รวม 12 แห่ง เป็นจำนวนเงินรวม 2,456 ล้านบาท และกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในบริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวข้องกับพลังงาน พลังงานทดแทน และธุรกิจที่มีส่วนสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า จำนวนเงินลงทุนของกองทุนในแต่ละโครงการประมาณ 50-500 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาและนำนวัตกรรมด้านพลังงานมาสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมให้เกิดโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ ภายใต้การบริหารของเอ็มเอฟซี ได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนในบริษัท เซลเลนเนียม (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นจำนวนเงิน 355 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 3,230 ล้านบาท โดยกองทุนมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวในสัดส่วน 20%
สำหรับบริษัท เซลเลนเนียม (ไทยแลนด์) ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมทางเลือกใหม่สำหรับเก็บและสร้างพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะปฏิวัติการใช้พลังงานหมุนเวียนของชาติ ด้วยเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow หรือระบบเทคโนโลยีเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียม ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนเฉลี่ยประมาณ 25%
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการลงทุนครั้งที่สามของกองทุน หลังจากได้ลงทุนไปแล้วใน บริษัท อีเอสเทอร์ จำกัด (E-Ester) ซึ่งเป็นบริษัทค้นคว้า วิจัย และผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพประเภท “ไบโอดีเซล” โดยกองทุนฯ เข้าไปลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท แห่งที่สองได้แก่ บริษัท Impress Ethanol และบริษัท Impress Farming ซึ่งเป็นบริษัทผลิต “เอธานอล” ที่มีกำลังการผลิต 200,000 ลิตรต่อวัน และปลูกมันสำปะหลังซึ่งให้ผลผลิตกว่า 16 ตันต่อไร่ โดยกองทุนฯ เข้าไปลงทุนประมาณ 280 ล้านบาทจากมูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท
นายพิชิตกล่าวว่า การลงทุนทั้งหมดในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งสัดส่วนการลงทุนทั้งหมดคิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าโครงการที่สามารถระดมทุนประมาณ 2,456 ล้านบาท โดยในปีหน้า บริษัทตั้งเป้าจะลงทุนเพิ่มในบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนอีก 4 บริษัท คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท
นายกฤษฎา กัมปนาทแสนยากร ประธานกรรมการ บริษัทเซลเลนเนียม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้คิดค้น ระบบเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow ด้วยเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียม เปิดเผยว่า การเซ็นสัญญาในครั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ เป็นอย่างดี ทั้งนี้ กองทุนฯ ได้ลงทุนในโครงการเป็นจำนวน 355 ล้านบาท และมีระยะเวลาการลงทุน 10 ปี
สำหรับเชื้อเพลงแวนเนเดียม มีลักษณะเป็นของเหลว ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้เติมในแบตเตอร์รี่แทนการใช้โลหะหรือน้ำกรด ซึ่งสารเคมีชนิดนี้ สามารถใช้งานได้นานกว่าแบตเตอร์รี่ทั่วไปถึง 30 เท่า ทำให้ช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานได้ค่อนข้างมาก
ส่วนการดำเนินการต่อไป บริษัท เซลเลนเนียม ฯ จะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแวนเนเดียมเรด๊อกซ์แบตเตอรี่ และตั้งโรงไฟฟ้า VSPP ขนาด 20 เมกะวัตต์ จำนวน 2 แห่ง ซึ่งจะเป็นโรงงานไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้แก่ โซล่าร์เซลล์ และไบโอแก๊สสาหร่าย โดยโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งจะตั้งอยู่ที่รังสิตคลอง 8 และที่โครงการ ฮอร์ท ชูพอยส์ พัทยา นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ จะมีการพัฒนานำเซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียม เข้าไปใช้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มุ่งเรื่องการประหยัดพลังงานไฟฟ้าอีกหลายโครงการ
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการกลยุทธ์กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ กล่าวเสริมว่า ปัจจัยหลักสำหรับการเข้าร่วมลงทุนในบริษัท เซลเลนเนียม ได้แก่จุดเด่นด้านนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเป็นเวลากว่า 20 ปี ซึ่งได้มีการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้ผ่านการพิสูจน์ในระดับห้องปฏิบัติการ และการทดสอบใช้งานจริงแล้ว นอกจากนี้ เซลเชื้อเพลิงแวนเนเดียมสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับพลังงานทดแทนได้หลายประเภท เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานไบโอแก๊สจากสาหร่าย ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้า และลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า
ทั้งนี้ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ (MFC Energy Fund) ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 อายุกองทุน 10 ปี โดยระดมทุนจากนักลงทุนสถาบัน ทั้งในกลุ่มสถาบันการเงิน นักลงทุนสถาบัน และกลุ่มธุรกิจพลังงาน รวม 12 แห่ง เป็นจำนวนเงินรวม 2,456 ล้านบาท และกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในบริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวข้องกับพลังงาน พลังงานทดแทน และธุรกิจที่มีส่วนสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า จำนวนเงินลงทุนของกองทุนในแต่ละโครงการประมาณ 50-500 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาและนำนวัตกรรมด้านพลังงานมาสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมให้เกิดโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน