xs
xsm
sm
md
lg

เป้าหมายใหม่..‘ธีรพันธุ์ จิตตาลาน’ กัปตันคนใหม่แห่ง…SCI ASSET จิ๊กซอว์ใหม่ของ Scib Family..เติมเต็มความอบอุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลังจากช่วยสร้างความแตกต่างด้านกลยุทธ์การลงทุน และร่วมบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (KTAM) ให้มีครองความยิ่งใหญ่มานาน เรียกว่าชื่อชั้นของ KTAM นั้นไม่น้อยหน้าใครในวงการ จนถือได้เป็นเป็นบลจ.อันดับต้นแห่งหนึ่งของไทยกว่าได้ ในที่สุด “ธีรพันธุ์ จิตตาลาน” ก็สละเรือ เพื่อออกมาสร้างความท้าทายให้กับชีวิตตนเองอีกครั้ง โดยการเลือกมากุมหางเสือให้แก่ บลจ.ในค่ายของแบงก์ชฎา ในนาม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นครหลวงไทย จำกัด (SCI ASSET) ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย กับการย้ายค่ายครั้งนี้นอกเหนือจากจะเข้ามาบริหารในส่วนธุรกิจกองทุนรวมทั่วไปแล้ว กองทุนส่วนบุคคลของค่ายนครหลวงไทย น่าจะมีความน่าสนใจเพิ่มเพราะกรรมการผู้จัดการคนใหม่นี้ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้มาก
ธีรพันธุ์ จิตตาลาน
“ผมชอบคอนเซ็ปต์ Scib Family ของธนาคารนครหลวงไทย เพราะคำนี้ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น เหมือนการดูแล ช่วยเหลือกันและกัน เหมือนพ่อดูแลลูก ลูกดูแลแม่ ใครมีปัญหาฝ่ายอื่นก็จะเข้ามาช่วย ซึ่งในเมืองไทยยังไม่ใครใช้คำว่าครอบครัวมาเป็นจุดชู และก็ตรงกับส่วนตัวที่ผมก็เป็นแฟมิลี่ แมน เวลากลับบ้านไปเห็นลูกมีปัญหา เราทั้งพ่อและแม่ก็ตจะเข้าไปคุยกับลูกว่ามีปัญหาอะไร เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหานั้น ไม่ปล่อยให้เดียวดาย”

ปัจจุบันเพื่อเดินตามนโยบาย Scib Family กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเข้าไปร่วมมือกับเริ่มกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สร้างสถาบันวิจัยนครหลวงไทย ที่จับมือกับนิด้า ด้วยการเจราจาแลกเปลี่ยนความคิด และนำเสนอข้อมูล ว่าทางบลจ.อยากได้ข้อมูลในภาพเศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจจุลภาค โดยอธิบายถึงวิธีข้อมูลการลงทุนของฟันด์เมเนเจอร์ที่ต้องศึกษาและติดตามข้อมูลด้านเศราฐกิจต่างประเทศ อาทิ สหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ไทย รวมถึงราคาน้ำมันอยู่เสมอ ซึ่งเป็นข้อมูลที่บลจ.ใช้ในการประกอบการพิจารณาลงทุน เพื่อร่วมกันสร้างโมเดลในการวิจัยที่ดีๆ สำหรัใช้ประกอบการพิจารณาลงทุนของทั้งสองฝ่าย

“เรากำลังลิงก์ข้อมูลร่วมกัน และอีกไม่นานเราจะมีโมเดลดีๆ แบบที่จะบอกได้ว่าการเคลื่อนไหวของจีดีพี ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงแล้วจะกับกระทบกับอุตสาหกรรมใด เช่นจีดีพีเหลือ3% อะไรจะขึ้น อุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบ เป็นต้น”

อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ได้รับ เป็นเพียงข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการพิจารณาลงทุนเท่านั้น ไม่สามารถนำมาตัดสินใจลงทุนได้ทันที ขณะเดียวกันบลจ.นครหลวงไทยยังเปิดรับฟังข้อมูลจากแหล่งอื่นๆรอบด้าน เพื่อเป็นการเปิดกว้างด้านข้อมูลข่าวสาร และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยจะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมา มาประมวลผลพิจารณาตัดสืนใจลงทุนด้วยตัวเองอีกครั้ง

เป้าหมายต่อไปนอกเหนือจากความร่วมมือกับบล.นครหลวงไทย จำกัด แล้ว เพื่อเดินหน้านโยบาย Scib Family ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการติดต่อประสานงานกับบริษัทในเครืออื่นๆ อาทิเช่นธุรกิจประกันภัย และธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งขณะนี้บริษัทได้นำเงินในพอร์ตของธุรกิจประกันชีวิตเข้ามาบริหาร และคอยดูแลให้แล้ว

โดยขั้นต่อไปจะมีการแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีระหว่างกันเพิ่มขึ้น เช่น บลจ.นครหลวงไทย จะมีการติดต่อสื่อสารกับนักลงทุนต่างประเทศ หรือสถาบันต่างประเทศบ่อยๆ ขณะที่ธุรกิจประกันจะมีโปรดักต์หลายชนิด ซึ่งในที่นี้รวมถึง ยูนิต ลิงก์ ดังนั้นเวลาที่คนมาทำประกันชีวติอาจจะเลือกแบ่งเงินมาทำการลงทุนผ่าน ยูนิต ลิงก์ และทางด้านบลจ.จะทำหน้าที่แนะนำช่องทางลงทุนในยูนิต ลิงก์ ว่าตอนนี้อะไรเหมาะสม ได้ผลตอบแทนสวย ซึ่งจะเป็นการแนะนำการลงทุนดีๆให้แก่ลูกค้าของธุรกิจประกันนั่นเอง นั่นเอง

ส่วนแบงก์ นครหลวงไทย กรรมการผู้จัดการ SCI ASSET มีแนวคิดที่จะเสริมสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ครบวงจรตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าผ่านทุกสาขาของธนาคารได้ หรือหมายให้แบงก์กลายเป็นซุปเปอร์มาร์เกตทางการเงิน

“เรื่องแรกเราต้องมองตัวเองเป็นซุปเปอร์ มาร์เก็ต ถ้าลองพิจารณาให้ดีในเมืองไทยขณะนี้มีแบงก์เปิดดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการเงินต่างๆมากมาย ทั้งแบงก์ไทย และแบงก์ต่างประเทศ แต่เมื่อเรามองว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์มาร์เกต ดังนั้นเพื่อสามารถให้บริการลูกค้าที่เข้ามา เราจะต้องมีสินค้า ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ตอบรับทุกความต้องการ ให้ลูกค้ารู้สึกประทับ เหมือนเราเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านการเงินที่มีทุกอย่างตอบสนองแบบครบวงจร เช่นพ่อค้า ทำการค้าก็อยากได้สินเชิ่อแบงก์ พออยากได้สินเชื่อแบงก์ ก็อยากได้ประกันภัย และตัวเขาเองอายุ 50ปีแล้ว ก็อยากมีประกันชีวิต หรือพอมีเงินเหลือ ก็อยากจะออมให้ลูกจึงสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุน”

เมื่อเราได้ทราบถึงภาพรวมในการนำพาบลจ.นครหลวงไทย แล้วว่าจะมีทิศทางเช่นใด กรรมการผู้จัดการ SCI ASSET ได้กล่าวถึงกลยุทธ์และแนวคิดในการบริหารบลจ.ช่วงนี้ว่า ทุกอยู่กำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อให้เกิดความสมดุล และเพิ่มขีดความสามารถ เตรียมพร้อมที่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งในเรื่องข้อมูล ในเรื่องการจัดตั้งกองทุน เรื่องการจัดการระบบ ให้ตรงกับโจทย์ที่ตั้งไว้

“ทุกวันนี้ทางแบงก์มีโปรดักต์ครบ ส่วนธุรกิจกองทุนรวมของบลจ.นครหลวงไทย เมื่อผมเข้ามาก็มองว่ามีโปรดักต์ครบเช่นกัน ในส่วนกองทุนรวม ถ้ามีโปรดักต์อะไรดีๆ ลูกค้าชอบก็สามารถนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนรวมได้ แต่ถ้าโปรดักต์การเงินใด มีความซับซ้อน มีความเสี่ยงเพิ่ม แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสูง จุดนี้เราควรที่นำโปรดักต์ดังกล่าวไปจัดตั้งเป็นกองทุนรวมส่วนบุคคลมากกว่า เพราะจุดนี้เราต้องคำนึงว่าคนของเราประมาณ 50 – 100 คน คงไม่สามารถไปชี้แจงรายละเอียดด้านการลงทุนต่อลูกค้าทุกคนหรือมาณ 10,000 – 100,000ได้หมดพร้อมกัน อีกทั้งลูกค้ารายย่อย ยังไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนมากจนเกินไป ดังนั้นโปรดักต์กองทุนรวมที่จะออกมา เราจะเน้นในเรื่องความคล่องตัว เป็นที่เข้าใจต่อลูกค้าเป็นหลัก โดยจะดำเนินการขายผ่านแบงก์สาขากว่า 400 แห่ง และตัวแทนการขายที่เรามีอยู่”

ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการบลจ.นครหลวงไทย ให้ความสำคัญกับโปรดักต์ต่างๆที่นำมาจัดตั้งกองทุนนำเสนอต่อลูกค้าเป็นอย่างมาก ต้องการหาโปรดักต์ที่ง่ายไม่ซับซ้อนให้แก่กลุ่มลูกค้ารายย่อย เพราะจะง่ายต่อการเข้าใจของคนกลุ่มนี้ส่วนโปรดักต์ที่ซับซ้อนควรไปอยู่ในไพรเวตฟันด์ ดีกว่า เพราะการเข้าถึงตัวลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเงินสูงนั้น การจะนำเสนอข้อมูลต้องผ่านทางบลจ.เท่านั้น จะผ่านทางเซลล์ ลิงก์ เอเย่นต์อื่นไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นโอกาสที่บลจ.จะได้โชว์ศักยภาพ และวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนยได้อย่างเต็มที่ เพราะคนกลุ่มนี้มีความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนสูงอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ปัจจุบบันการลงทุนผ่านไพรเวต ฟันด์ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยธปท. และก.ล.ต.ให้สามารถจัดตั้งเป็นกองทุนรวมเพื่อลงทุนระหว่างประเทศ (เอฟไอเอฟไพรเวตฟันด์)ได้แล้ว ซึ่งเหมาะกับส่วนตัว เพราะคุณธีรพันธุ์ที่ความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่

“ปีหน้าแบงก์ลดการแข่งด้านดอกเบี้ยเงินฝากสูงแล้ว ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง เราก็พยายามหาโปรดักต์ไปวางขาย เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อายุ1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน ลงทุนในพันธบัตรรัฐหรืออย่างอื่น ซึ่งจะมีแบบคุ้มครองเงินต้น และไม่คุ้มครองเงินต้น ส่วนครึ่งปีหลังปัญหาเริ่มลดลง จึงน่าจะเป็นโอกาสของกองทุนเอฟไอเอฟ ที่น่ากลับไปลงทุนต่างประเทศได้แล้ว เพราะคาดว่าลูกค้าคงเริ่มอยากจะเข้าไปลงทุน ตอนนี้บอกว่าในต่างประเทศมีอะไรดีไหม ก็ตอบได้ว่ามี แต่ขายแล้วคนซื้อไหม?เราต้องคำนึงในเรื่องนี้ด้วย”

โดยจุดแรกที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว คือ ขณะนี้บริษัทจะมีกองทุนประเภทโรลโวอร์อะไร ก็จะให้เปิดทำการขายไปเช่นเดิม แต่จะเพิ่มความถี่ในการกองทุนใหม่ จากเดิมจะมีการออกกองใหม่เดือนละครั้ง ก็เปลี่ยนให้ออกสัปดาห์ละครั้ง เพื่อรองรับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ฝากประจำพิเศษกับแบงก์ต่างๆ เพื่อรับดอกเบี้ยเพิ่ม แต่เมื่อครบกำหนดอายุแล้วก็สามารถนำเงินมาฝากเพื่อสร้างผลตอบแทนกับบลจ.นครหลสวงไทย ได้ทันที

ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะแยก เซลล์ กับมาร์เกตติ้ง ออกจากกัน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่ามาร์เกตติ้งมีหน้าที่ต้องทำเรื่องตลาดผลิตโปรดักต์ สร้างแบนร์ดอิมเมจ ขายของรวมกันอยู่ แต่ความเป็นจริงมาร์เกตติ้งควรอยู่ที่บริษัทเพื่อเก็บข้อมูล ประมวลผลวิจัย รู้จักลูกค้าแต่ละประเภทต่างๆ เช่น ลูกค้าSCIB เป็นอย่างไร? ลูกค้าเล่นหุ้นผ่านโบรกเกอร์เป็นอย่างไร? จุดนี้มารร์เกตติ้งต้องรู้ เพื่อสามารถนำจข้อมูลเหล่านี้มาปรับแต่ง จัดตั้งเป็นกองทุนรวมเสนอลูฏค้าได้อย่างถูกจุด ส่วนเซลล์ก็มีหน้าที่ในการขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าทั้งในฐานลูกค้าเก่า และฐานลูกค้าใหม่ ที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต

“มาร์เก็ตติ้งต้องรู้กลยุทธ์ในครึ่งปีแรกของปี 2552 ว่าจะดำเนินการอย่างไร จะเจาะกลุ่มลูกค้าแบบไหน ครึ่งปีหลังจะไปในแนวทางไหน ไพรเวตฟันด์จะบุกได้เมื่อไร เอฟไอเอฟ ได้เมื่อไร มาร์เก็ตติ้งต้องมีข้อมูลความรู้ในเรื่องพวกนี้ เมืองไทยยังมีสหกร์กรณ์ มหาลัย สถาบัน คนจีนชนชาติต่างๆ กลุ่มลูกค้าราชการ เอกชนอีกมากมาย ถ้าเรารู้ความต้องการลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดี เราก็จัดสินค้าให้ตรงกับความต้องการของพวกเขาเหล่านี้ได้ ไม่สะเปะ สะปะ คนขายก็จะแบ่งกันชัดเจนคนที่ดูแลลูกค้าแบงก์นครหลวงก็จะทำโดยตรง ส่วนลูกค้าใหม่ก็จะมีคนมาทำหน้าที่ดูแลอีกคนหนึ่ง”

ส่วนเซลล์ บริษัทมีแผนจะแยกการบุกตลาดใหม่ กับตลาดเก่า โดยกระตุ้นให้เซลล์ทำการของตนเองอยู่เสมอ ต้องมีการศึกษาข้อมูล พฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มต่างๆ มีความละเอียดถี่ถ้วนทำงานมากขึ้น

ทั้งนี้ ธีรพันธุ์ ยืนยันว่าส่วนตัวไม่มีแนวคิดที่จะพึ่งพา หรือขายกองทุนรวมผ่านลูกค้าของธนาคารเพียงอย่างเดียวแต่มีความคิดให้พนักงานแบงก์ขยายฐานโดยไปยังลูกค้าแบงก์จากที่อื่นๆเข้ามา เช่นอาจสร้างกิจกรรมการให้คะแนนรางวัล หากพนักงานสามารถหาลูกค้ารายใหม่เข้ามาได้ก็จะได้รับ 2 คะแนน ส่วนถ้าเป็นลูกค้าเก่าก็ได้รับ 1 คะแนน

“สิ่งแรกที่ทำ คือ ให้ลูกค้าหันมาสนใจโปรดักต์ของเรามากขึ้น ปีนี้เราต้องรักษาวงเงินเดิม(ยอดสินทระพย์ภายใต้การบริหารจัดการ : เอยูเอ็ม) 40,000 ล้านบาทให้ได้ก่อน แต่เราหวังไว้ที่ 100,000 ล้านบาท ภายในเวลาอีก 3 ปี ถือเป็นการเติบโตที่สูง แต่ตรงนี้เป็นมุมมองที่มีโอกาสทำได้ หากตลาดดีอาจใช้เวลาเพียง 2 ปีกว่า แต่ถ้าไม่ดีก็อาจต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมั่นใจว่าสามาถทำได้”

หัวเรือใหญ่ค่าย SCI ASSET กล่าวย้ำว่า บลจ.ต้องพัฒนาระบบต่างๆ เพิ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มกองทุนส่วนบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องการลงทุนมาก ดังนั้นเราต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี ต้องมีเครื่องมือในการประเมินผลตอบแทนที่ดี ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับกองทุนต่างๆได้ในทันที เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ โดยเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะแล้วเสร็จประมาณ 2 ไตรมาส หรือประมาณ 70-80% โดยตอนนี้แผนจัดองค์กรใหม่ เสร็จแล้วกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจากบอร์ดของบริษัทเท่านั้น

เช่นนี้แล้วเชื่อว่าในปี 2552 หลายคนจะมองข้าม บลจ.นครหลวงไทย ไม่ได้แล้ว แต่เราจะต้องกลับมามอง หรือกลับมาจับตารอคอยดูภาพลักษณ์ใหม่ กลยุทธ์แบบใหม่ๆที่ SCI ASSET จะนำออกมาเสนอ ซึ่งคาดว่าหลังจากแบงก์คลายความกังวลในเรื่องประกันเงินฝากออกไปแล้ว การระดมเงินฝากน่าจะเบาบางลง และน่าจะเป็นโอกาสให้บลจ.ต่างๆเข้ามาเก็บเกี่ยวเม็ดเงินกองนี้ที่หลุดออกมา ส่วน SCI ASSET จะสามารถเข้าเก็บเกี่ยวได้ขนาดไหน..เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น