บลจ.เอ็มเอฟซี มั่นใจบริษัทลูก ดันรายได้ทั้งปีโตตามเป้า 15-20% แม้สินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารจะวูบตามภาวะตลาด ล่าสุด ตั้ง 2 บริษัทที่ปรึกษา ด้านการเงินและอสังหารมิทรัพย์ โกยรายได้ เผยเตรียมแผนศึกษาตั้งบริษัทเพิ่ม หลังนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเจรจาบ้างแล้ว ส่วนแผนออกกองทุนช่วงที่เหลือของปี เล็งส่งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านเดียวให้เช่า เเละสำนักงานให้เช่าใจกลางกรุงเทพ โครงการละ 1 พันล้านบาท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายเพิ่มรายได้ของปีนี้ไว้ที่ 15-20% ที่เคยตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.(AUM) จะลดลงตามภาวะตลาดก็ตาม โดยในส่วนของรายได้นั้น คาดว่าจะมาจากธุรกิจเสริม ทั้งจากการเป็นบริษัทให้คำปรึกษาทางด้านการลงทุน ประกอบกับบลจ.ได้จัดตั้งบริษัทลูก พร้อมกับบริษัทร่วมทุน ขณะเดียวกันในปลายปีนี้จะมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 2-3 กองทุน ดังนั้น จึงเชื่อว่ารายได้จะเป็นไปตามที่ตั้งไว้
ล่าสุด บริษัทได้จัดตั้งบริษัท เอ็มเอฟซี เรียลเอสเตท แอสเซท เมเนจเม้นท์ ที่จะให้บริการเรื่องการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ให้คำปรึกษาครอบคลุมถึงเรื่องทรัพย์สิน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเท่านั้น เช่น ให้คำปรึกษาทางด้านการบริหารโรงแรม การบริหารเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ หรือศูนย์การค้า โดยเป้าหมายส่วนหนึ่งเราเห็นว่าการบริหารจัดการทางเงินอยู่ในรูปแบบของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เราดูแลเฉพาะการสมเหตุสมผลทางการเงิน แต่ความแน่นอนของรายได้ การบริหารงานและดำเนินงานจริงจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ที่เข้าไปบริหารทรัพย์สิน ซึ่งเราเชื่อว่า ถ้ามีบริษัทลูกที่เข้ามาดูแลจะเป็นผลดีทั้งกับการบริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเอง และส่งผลดีกับกิจการที่บริษัทเข้าไปดูแลให้อีกด้วย
“ความเสี่ยงในเรื่องกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่การบริหารอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมที่ให้เช่า หรืออาจเป็น บริษัทที่ทางกองทุนเป็นผู้จัดหา โดยกองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนมาก จะไม่ได้การันตีการบริหารงาน ซึ่งบริษัทเอ็มเอฟซี เรียลเอสเตท แอสเซท เมเนจเม้นท์ จะไม่เข้าไปบริหารงาน เพียงแต่จะช่วยด้านเทคนิคและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการบริหารจัดกาให้เป็นไปบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ”นายพิชิต กล่าว
ส่วนอีกบริษัทที่กำลังดำเนินการอยู่ในขั้นศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัท คือบริษัท เอ็มเอฟซี แอดไวเซอร์รี่ การให้คำปรึกษาทางการเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจต่อเนื่องจากธุรกิจที่เราทำอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับโครงการใหญ่ของรัฐบาลเช่น โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โครงการประเมินการขายหุ้นของทหารไทย และมีโครงการย่อยอีกที่ทางบลจ.เข้าไปจัดการดูแล
ในขณะที่ความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทร่วมกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ ภายใต้ชื่อบริษัทไทยเอ็กซิมอินเตอร์เนชั่นแนลนั้น ได้จัดตั้งและดำเนินการแล้วอยู่ที่ประเทศรัสเซีย โดยบริษัทดังกล่าวจะให้บริการทางด้านการลงทุนซื้อขายให้กับนักลงทุนไทยและรัสเซีย ที่ต้องการส่งออกหรือนำเข้าระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งการส่งออกและนำเข้ามีประเด็นอยู่ 2 ประเด็นคือ กลัวว่าเมื่อส่งสินค้าไปแล้วจะไม่ได้รับเงิน หรือส่งเงินไปแล้วไม่ได้ของ โดยถ้าเรามีตัวแทนประเทศไทย เมื่อลูกค้าส่งสินค้าออกไปอาจจะยังไม่ส่งตรงไปที่ผู้รับ แต่อาจส่งไปที่บริษัทก่อนเพื่อให้ผู้รับมาชำระเงินก่อนนำสินค้าออกไปจะช่วยลดความเสี่ยงในแง่การชำระเงิน เหตุผลที่เราเลือกตั้งบริษัทดังกล่าวที่รัสเซีย เนื่องจากประเทศรัสเซียเป็นเป้าหมายทางด้านการค้าที่สำคัญ มีศักยภาพในการนำเข้าสูง มีกำลังเงินมาก และ เป็นประเทศที่มีเศรษฐีเกิดขึ้นค่อนข้างมากจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมา
“หลังจากนี้ บลจ.จะร่วมทุนกับบริษัทอื่นหรือไม่นั้น ก็คงจะต้องดูก่อน แต่ในอนาคตอาจได้เห็นโครงการดีๆของเอ็มเอฟซีแน่นอน ซึ่งตอนนี้เองก็เริ่มมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาคุยบ้างแล้ว” นายพิชิต กล่าว
สำหรับแผนงานในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้หรือก่อนปลายปี 2551 บลจ.จะเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อีก 2 กองทุน คือ โครงการบ้านเดียวให้เช่า ของนิชดา ธานี ซึ่งมีขนาดกองทุนประมาณ 1 พันล้านบาท และอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ มีขนาดกองทุน 1 พันล้านบาทเช่นกัน นอกจากนี้ทางบลจ.จะเสนอขายกองทุนที่ตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนในช่วงนี้ สำหรับกองทุนต่างประเทศ (FIF) คงต้องชะลอไปก่อน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงหวาดระแวงกับวิกฤติสถาบันการเงินของสหัฐอเมริกา และยุโรป รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอีกด้วย
ทั้งนี้ นายพิชิตกล่าวว่า ทางบริษัทเล่ห์แมน บราเธอส์ เคยเข้ามาพูดเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ในประเทศไทย ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงิน ซึ่งถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นในช่วงนี้ อาจติดปัญหาทางกฎหมาย ทางเล่ห์แมนคงต้องชะลอออกไปก่อน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายเพิ่มรายได้ของปีนี้ไว้ที่ 15-20% ที่เคยตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.(AUM) จะลดลงตามภาวะตลาดก็ตาม โดยในส่วนของรายได้นั้น คาดว่าจะมาจากธุรกิจเสริม ทั้งจากการเป็นบริษัทให้คำปรึกษาทางด้านการลงทุน ประกอบกับบลจ.ได้จัดตั้งบริษัทลูก พร้อมกับบริษัทร่วมทุน ขณะเดียวกันในปลายปีนี้จะมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนตราสารหนี้เพิ่มอีก 2-3 กองทุน ดังนั้น จึงเชื่อว่ารายได้จะเป็นไปตามที่ตั้งไว้
ล่าสุด บริษัทได้จัดตั้งบริษัท เอ็มเอฟซี เรียลเอสเตท แอสเซท เมเนจเม้นท์ ที่จะให้บริการเรื่องการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ให้คำปรึกษาครอบคลุมถึงเรื่องทรัพย์สิน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเท่านั้น เช่น ให้คำปรึกษาทางด้านการบริหารโรงแรม การบริหารเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ หรือศูนย์การค้า โดยเป้าหมายส่วนหนึ่งเราเห็นว่าการบริหารจัดการทางเงินอยู่ในรูปแบบของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เราดูแลเฉพาะการสมเหตุสมผลทางการเงิน แต่ความแน่นอนของรายได้ การบริหารงานและดำเนินงานจริงจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ที่เข้าไปบริหารทรัพย์สิน ซึ่งเราเชื่อว่า ถ้ามีบริษัทลูกที่เข้ามาดูแลจะเป็นผลดีทั้งกับการบริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเอง และส่งผลดีกับกิจการที่บริษัทเข้าไปดูแลให้อีกด้วย
“ความเสี่ยงในเรื่องกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่การบริหารอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เดิมที่ให้เช่า หรืออาจเป็น บริษัทที่ทางกองทุนเป็นผู้จัดหา โดยกองทุนอสังหาริมทรัพย์ส่วนมาก จะไม่ได้การันตีการบริหารงาน ซึ่งบริษัทเอ็มเอฟซี เรียลเอสเตท แอสเซท เมเนจเม้นท์ จะไม่เข้าไปบริหารงาน เพียงแต่จะช่วยด้านเทคนิคและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการบริหารจัดกาให้เป็นไปบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ”นายพิชิต กล่าว
ส่วนอีกบริษัทที่กำลังดำเนินการอยู่ในขั้นศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัท คือบริษัท เอ็มเอฟซี แอดไวเซอร์รี่ การให้คำปรึกษาทางการเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจต่อเนื่องจากธุรกิจที่เราทำอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับโครงการใหญ่ของรัฐบาลเช่น โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โครงการประเมินการขายหุ้นของทหารไทย และมีโครงการย่อยอีกที่ทางบลจ.เข้าไปจัดการดูแล
ในขณะที่ความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทร่วมกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ ภายใต้ชื่อบริษัทไทยเอ็กซิมอินเตอร์เนชั่นแนลนั้น ได้จัดตั้งและดำเนินการแล้วอยู่ที่ประเทศรัสเซีย โดยบริษัทดังกล่าวจะให้บริการทางด้านการลงทุนซื้อขายให้กับนักลงทุนไทยและรัสเซีย ที่ต้องการส่งออกหรือนำเข้าระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งการส่งออกและนำเข้ามีประเด็นอยู่ 2 ประเด็นคือ กลัวว่าเมื่อส่งสินค้าไปแล้วจะไม่ได้รับเงิน หรือส่งเงินไปแล้วไม่ได้ของ โดยถ้าเรามีตัวแทนประเทศไทย เมื่อลูกค้าส่งสินค้าออกไปอาจจะยังไม่ส่งตรงไปที่ผู้รับ แต่อาจส่งไปที่บริษัทก่อนเพื่อให้ผู้รับมาชำระเงินก่อนนำสินค้าออกไปจะช่วยลดความเสี่ยงในแง่การชำระเงิน เหตุผลที่เราเลือกตั้งบริษัทดังกล่าวที่รัสเซีย เนื่องจากประเทศรัสเซียเป็นเป้าหมายทางด้านการค้าที่สำคัญ มีศักยภาพในการนำเข้าสูง มีกำลังเงินมาก และ เป็นประเทศที่มีเศรษฐีเกิดขึ้นค่อนข้างมากจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมา
“หลังจากนี้ บลจ.จะร่วมทุนกับบริษัทอื่นหรือไม่นั้น ก็คงจะต้องดูก่อน แต่ในอนาคตอาจได้เห็นโครงการดีๆของเอ็มเอฟซีแน่นอน ซึ่งตอนนี้เองก็เริ่มมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาคุยบ้างแล้ว” นายพิชิต กล่าว
สำหรับแผนงานในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้หรือก่อนปลายปี 2551 บลจ.จะเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อีก 2 กองทุน คือ โครงการบ้านเดียวให้เช่า ของนิชดา ธานี ซึ่งมีขนาดกองทุนประมาณ 1 พันล้านบาท และอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ มีขนาดกองทุน 1 พันล้านบาทเช่นกัน นอกจากนี้ทางบลจ.จะเสนอขายกองทุนที่ตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำเพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนในช่วงนี้ สำหรับกองทุนต่างประเทศ (FIF) คงต้องชะลอไปก่อน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงหวาดระแวงกับวิกฤติสถาบันการเงินของสหัฐอเมริกา และยุโรป รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอีกด้วย
ทั้งนี้ นายพิชิตกล่าวว่า ทางบริษัทเล่ห์แมน บราเธอส์ เคยเข้ามาพูดเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ในประเทศไทย ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงิน ซึ่งถ้ามีการซื้อขายเกิดขึ้นในช่วงนี้ อาจติดปัญหาทางกฎหมาย ทางเล่ห์แมนคงต้องชะลอออกไปก่อน