บลจ.ไทยพาณิชย์ฉวยจังหวะหุ้นซบเซา เปิดตัว “กองทุนไทยพาณิชย์เสถียรทรัพย์พรีเมียม 6” เน้นลงทุนส่วนใหญ่ในพันธบัตรรัฐบาล และลงทุนบางส่วนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูงถึง 7% หากดัชนีหุ้นปรับตัวระดับ 10% ขึ้นไป และยังได้รับเงินลงทุนคืนเต็มทั้งจำนวนเมื่อสิ้นสุดโครงการ เปิดไอพีโอ 3 – 9 ต.ค.นี้ เผยปัจจุบัน เน้นออกกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เสถียรทรัพย์พรีเมียม 6 (SCBCSP6) ซึ่งเป็นกองทุนผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน โดยจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยเป็นส่วนใหญ่ และนำไปลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่เกิน 5% ของมูลค่าทรัพย์สินที่จดทะเบียน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และมีอายุโครงการประมาณ 9 เดือน โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันที่ 3 – 9 ตุลาคมนี้ และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
สำหรับกองทุนดังกล่าวนับเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการได้รับความปลอดภัยสูง และขณะเดียวกันก็ยังต้องการได้รับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย แต่มีส่วนหนึ่งของกองทุนนำไปลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นในระยะเวลา 9 เดือนข้างหน้า หรือภายในครึ่งปีแรกของปี 2552 เพราะได้รับผลจากการที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักจะฟื้นตัวก่อนเศรษฐกิจฟื้นตัว
ทั้งนี้ กองทุน SCBCSP6 มีนโยบายการจ่ายผลตอบแทนโดยอ้างอิงกับดัชนี SET50 ดังนี้ 1.ในกรณีที่ดัชนี SET50 ณ วันครบอายุโครงการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ขึ้นไปเมื่อเทียบกับกับดัชนี SET50 ณ วันเริ่มต้นโครงการ จะได้รับผลตอบแทน 7% ต่อปี 2.ในกรณีที่ดัชนี SET50 ณ วันครบอายุโครงการ อยู่ในระดับเดิมหรือปรับขึ้นไม่ถึง 10% จะได้รับผลตอบแทน 1% ต่อปี และ 3.ในกรณีที่ดัชนี SET50 ณ วันครบอายุโครงการ อยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนี SET50 ณ วันเริ่มต้นโครงการ จะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ แต่จะได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน
“จังหวะการลงทุนถือว่าเหมาะสม และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน ซึ่งนักลงทุนต้องการลงทุนที่ใกล้บ้าน โดยสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระดับ 7% ขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 3.4% ส่วนหุ้นกู้เอกชนอยู่ที่ 3.5-3.6% และในปัจจุบันการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาต่ำกว่า 600 จุด เชื่อว่ากองทุนนี้จะอัพไซส์พอสมควร แม้ว่าความผันผวนยังไม่จบลง ซึ่งโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงมาในระยะสั้นยังมีอยู่ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะสามารถทำกำไรจากการที่ดัชนี SET50 ปรับตัวสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังได้รับการคุ้มครองเงินลงทุนครบทั้งจำนวนเมื่อสิ้นสุดโครงการ เนื่องจากกองทุนจะลงทุนส่วนใหญ่ในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง ทำให้ได้เงินลงทุนคืนเมื่อครบอายุกองทุน” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเข้าไปจับจังหวะตลาดในการลงทุน หรือการที่จะเข้าไปลงทุนในระดับที่ดัชนีต่ำที่สุดเป็นเรื่องที่ยาก แต่ประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งหลังจากเกิดวิกฤติการณ์แล้วตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะปรับตัวก่อนจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจประมาณ 4 เดือน โดยจะปรับตัวลงต่ำสุดหรือใกล้เคียงกับจุดต่ำสุด คาดว่าช่วงนี้ข่าวไม่ดีจะออกมามากนับจากนี้ไปจนถึงปลายปี 2551 และตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดีจะออกตามมาด้วย โดยภาวะเศรษฐกิจจะถึงจุดต่ำสุดประมาณไตรมาส 2 - 3 ของปี 2552 ซึ่งมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นก่อนเศรษฐกิจจะฟื้นตัว หลังจากเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว 2 - 3 เดือน ดัชนีจะปรับขึ้นไปประมาณ 15%
ทั้งนี้ ปัจจัยภายในประเทศมีผลกระทบต่อดัชนีหุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก เชื่อว่าหากปัจจัยในต่างประเทศ อาทิ การแก้ไขปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) หากมีการใช้เวลาในการแก้ไขยาวนาน จะทำให้จุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจจะล่าช้าออกไปจากเดิมเป็นไตรมาส 2 - 3 ของปี 2552 แทน จากเดิมที่เคยมองไว้ไตรมาส 1-2 ของปี 2552
ส่วนความเคลื่อนไหวของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปัจจุบัน มีนักลงทุนไทยที่เข้าทำการซื้อขายหุ้นประมาณ 2 แสนราย ขณะที่นักลงทุนสถาบันถือเงินสดอยู่ประมาณ 10% โดยการซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างชาติ ต้องดูว่าปัจจัยอะไรจะช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติกลับมา แต่ปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติต้องการถือเงินสดไว้ ทำให้เม็ดเงินไหลกลับไปสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ขายสินทรัพย์แล้วนำเงินกลับมา โดยภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจ สหรัฐจะได้รับผลกระทบสูงสุด รองลงมาเป็นกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ขณะที่ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียยังดูดี คาดว่าหลังจากวิกฤิตการณ์ซับไพรม์จบลงแล้ว จะมีเม็ดเงินจะไหลกลับเข้ามายังเอเชีย
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า บริษัทมีการชะลอการออกกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ออกไปก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป และผลตอบแทนไม่แตกต่างกับลงทุนในไทย โดยจะเน้นออกกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหลัก ซึ่งมีการออกกองทุนมาเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ส่วนหุ้นกู้เอกชนไม่สนใจลงทุนแต่อย่างใด ขณะที่แผนการออกกองทุนในช่วงต่อไป บริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง และจะมีการคุ้มครองเงินต้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้นด้วย
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เสถียรทรัพย์พรีเมียม 6 (SCBCSP6) ซึ่งเป็นกองทุนผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน โดยจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยเป็นส่วนใหญ่ และนำไปลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไม่เกิน 5% ของมูลค่าทรัพย์สินที่จดทะเบียน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และมีอายุโครงการประมาณ 9 เดือน โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันที่ 3 – 9 ตุลาคมนี้ และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
สำหรับกองทุนดังกล่าวนับเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการได้รับความปลอดภัยสูง และขณะเดียวกันก็ยังต้องการได้รับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย แต่มีส่วนหนึ่งของกองทุนนำไปลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นในระยะเวลา 9 เดือนข้างหน้า หรือภายในครึ่งปีแรกของปี 2552 เพราะได้รับผลจากการที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักจะฟื้นตัวก่อนเศรษฐกิจฟื้นตัว
ทั้งนี้ กองทุน SCBCSP6 มีนโยบายการจ่ายผลตอบแทนโดยอ้างอิงกับดัชนี SET50 ดังนี้ 1.ในกรณีที่ดัชนี SET50 ณ วันครบอายุโครงการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ขึ้นไปเมื่อเทียบกับกับดัชนี SET50 ณ วันเริ่มต้นโครงการ จะได้รับผลตอบแทน 7% ต่อปี 2.ในกรณีที่ดัชนี SET50 ณ วันครบอายุโครงการ อยู่ในระดับเดิมหรือปรับขึ้นไม่ถึง 10% จะได้รับผลตอบแทน 1% ต่อปี และ 3.ในกรณีที่ดัชนี SET50 ณ วันครบอายุโครงการ อยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนี SET50 ณ วันเริ่มต้นโครงการ จะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ แต่จะได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวน
“จังหวะการลงทุนถือว่าเหมาะสม และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน ซึ่งนักลงทุนต้องการลงทุนที่ใกล้บ้าน โดยสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระดับ 7% ขณะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 3.4% ส่วนหุ้นกู้เอกชนอยู่ที่ 3.5-3.6% และในปัจจุบันการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาต่ำกว่า 600 จุด เชื่อว่ากองทุนนี้จะอัพไซส์พอสมควร แม้ว่าความผันผวนยังไม่จบลง ซึ่งโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงมาในระยะสั้นยังมีอยู่ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะสามารถทำกำไรจากการที่ดัชนี SET50 ปรับตัวสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังได้รับการคุ้มครองเงินลงทุนครบทั้งจำนวนเมื่อสิ้นสุดโครงการ เนื่องจากกองทุนจะลงทุนส่วนใหญ่ในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง ทำให้ได้เงินลงทุนคืนเมื่อครบอายุกองทุน” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเข้าไปจับจังหวะตลาดในการลงทุน หรือการที่จะเข้าไปลงทุนในระดับที่ดัชนีต่ำที่สุดเป็นเรื่องที่ยาก แต่ประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งหลังจากเกิดวิกฤติการณ์แล้วตลาดหุ้นทั่วโลกมักจะปรับตัวก่อนจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจประมาณ 4 เดือน โดยจะปรับตัวลงต่ำสุดหรือใกล้เคียงกับจุดต่ำสุด คาดว่าช่วงนี้ข่าวไม่ดีจะออกมามากนับจากนี้ไปจนถึงปลายปี 2551 และตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดีจะออกตามมาด้วย โดยภาวะเศรษฐกิจจะถึงจุดต่ำสุดประมาณไตรมาส 2 - 3 ของปี 2552 ซึ่งมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นก่อนเศรษฐกิจจะฟื้นตัว หลังจากเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว 2 - 3 เดือน ดัชนีจะปรับขึ้นไปประมาณ 15%
ทั้งนี้ ปัจจัยภายในประเทศมีผลกระทบต่อดัชนีหุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก เชื่อว่าหากปัจจัยในต่างประเทศ อาทิ การแก้ไขปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) หากมีการใช้เวลาในการแก้ไขยาวนาน จะทำให้จุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจจะล่าช้าออกไปจากเดิมเป็นไตรมาส 2 - 3 ของปี 2552 แทน จากเดิมที่เคยมองไว้ไตรมาส 1-2 ของปี 2552
ส่วนความเคลื่อนไหวของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปัจจุบัน มีนักลงทุนไทยที่เข้าทำการซื้อขายหุ้นประมาณ 2 แสนราย ขณะที่นักลงทุนสถาบันถือเงินสดอยู่ประมาณ 10% โดยการซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างชาติ ต้องดูว่าปัจจัยอะไรจะช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติกลับมา แต่ปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติต้องการถือเงินสดไว้ ทำให้เม็ดเงินไหลกลับไปสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ขายสินทรัพย์แล้วนำเงินกลับมา โดยภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจ สหรัฐจะได้รับผลกระทบสูงสุด รองลงมาเป็นกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ขณะที่ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียยังดูดี คาดว่าหลังจากวิกฤิตการณ์ซับไพรม์จบลงแล้ว จะมีเม็ดเงินจะไหลกลับเข้ามายังเอเชีย
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า บริษัทมีการชะลอการออกกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ออกไปก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป และผลตอบแทนไม่แตกต่างกับลงทุนในไทย โดยจะเน้นออกกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหลัก ซึ่งมีการออกกองทุนมาเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ส่วนหุ้นกู้เอกชนไม่สนใจลงทุนแต่อย่างใด ขณะที่แผนการออกกองทุนในช่วงต่อไป บริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง และจะมีการคุ้มครองเงินต้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้นด้วย