xs
xsm
sm
md
lg

SCBAMไม่มั่นใจเม็ดเงินอุ้มซับไพรม์ ประเมินอีก3ปีเศรษฐกิจแดนมะกันฟื้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ชี้ปัญหาซับไพรม์ไม่จบ แม้ภาครัฐระดมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไป เพราะยังขาดความชัดเจดในการปฏิบัติ พร้อมมองอินเดีย จีน และประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยังขยายตัวได้ แต่จะชะลอตัวเล็กน้อย แต่ยังสูงกว่ายุโรป และสหรัฐ โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถึงจุดต่ำสุดปี 2552 และคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ในปี 2554 ขณะที่ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 100-110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานยังมีอนาคตที่สดใส และยังมีราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐ (ซับไพรม์) ยังไม่จบ แม้ว่าจะมีการประกาศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปแก้ไขวิกฤติการณ์สถาบันการเงินประมาณ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อลงรายละเอียดแล้วอาจจะเป็นได้ยาก และการนำไปปฏิบัติจริงยังขาดความชัดเจน โดยสาเหตุเชื่อว่าปัญหาวิกฤติการณ์ดังกล่าวไม่จบ เนื่องจากปัญหาเรื่องสถาบันการเงินได้เกิดขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง (real sector) ที่ยังไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าถดถอย โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ยังออกมาดูดี แต่การที่ตัวเลขดังกล่าวดูดียัง ความเสียหายยังเกิดขึ้นขนาดนี้ สิ่งที่จะตามมาเมื่อเศรษฐกิจถดถอย และสิ่งที่หนีไม่พ้นคือคุณภาพของสินเชื่อจะเริ่มเสื่อมลง

ทั้งนี้ วิกฤติการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเรียกว่าซับไพรม์ แล้ว แต่ควรเรียกว่า สภาพคล่องตึงตัว โดยจะส่งผลกระทบสินเชื่อประเภทอื่นตามไปด้วย และมีหนี้สินจำนวนมาก รายได้ยังไม่เจริญเติบโต และมีจำนวนคนตกงาน และสินเชื่อรถยนต์ บัตรเครดิต โดยภาคอสังหาริมทรัพย์จะมีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ราคาบ้านจะลงไปอีก โดยที่ผ่านมาแม้ว่าในไตรมาส 2 แม้ว่าตัวเลขจะดูดี และการส่งออกจะยังช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ แต่การวัดการผลิตพอผลิตแล้วขายไม่ได้ และนำไปนับเป็นตัวเลข GDP ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2 ยังดูดี แต่เชื่อว่าในไตรมาส 3 และ 4 จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจนไปจนถึงปี 2552

ส่วนประเทศที่มีความน่าสนใจในการลงทุน เป็นประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ออกมาไม่ค่อยดี โดยยังติดลบอยู่เล็กน้อย เนื่องจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับลดลงมา ทำให้คาดกันว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 3 จะออกมาไม่ค่อยดี แต่ยุโรปโดยรวมยังดีอยู่ แม้ว่าความเสียหายจากสถาบันการเงินไม่ได้เกิดเฉพาะในสหรัฐ จากประมาณ 5 แสนล้านดอลาร์สหรัฐที่ถูกปรับลดลงเกือบ 50% อยู่ในยุโรป แต่เศรษฐกิจโดยรวมยังมีความเปราะบางน้อยกว่าสหรัฐค่อนข้างมาก โดยภาคครัวเรือนของยุโรปยังเข้มแข็งกว่า และยังมีเงินออมอยู่มาก ขณะที่สหรัฐนั้นมากู้เงินมามาก และมีการออมที่ติดลบด้วย

นอกจากนี้ ภาคเอกชนของยุโรปยังดี สินเชื่อบ้านยังดี ยกเว้นบางประเทศที่มีความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ อังกฤษ สเปน ที่จะประสบกับปัญหาอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง ขณะที่ไอร์แลนด์มีเพียงเบาบาง ส่วนเยอรมนีโดยรวมยังดี แม้ว่าอาจจะมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเล็กน้อย แต่โอกาสที่จะประสบปัญหาดังเช่นสหรัฐมีน้อย

ส่วนทิศทางการเคลื่อนไหวระหว่างค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐกับยูโร โดยมองว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงไปอีกเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลยูโร เนื่องจากไม่ได้มีข่าวดีข้อมูลดีเกี่ยวกับสหรัฐ แต่มีข่าวอื่นข้อมูลในประเทศอื่นแย่กว่าที่สหรัฐคิด ทำให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับที่อื่น ขณะที่ปัญหาของสหรัฐเองยังคงมีอยู่ แต่เม็ดเงินยังคงไหลกลับเข้ามาในสหรัฐอยู่ เนื่องจากความต้องการเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีมากขึ้น ทำให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นไปด้วย แต่หากพิจารณาแล้วจะพบว่าการที่เม็ดเงินไหลเข้ามาในสหรัฐมาจากต่างชาติแห่ขายสินทรัพย์ของสหรัฐตั้งแต่หุ้น หุ้นกู้ และสินทรัพย์อื่นๆ ยกเว้น ตราสารหนี้ และการที่สหรัฐขายของที่ตัวเองถือมากกว่าต่างชาติขายของที่เขาถือสหรัฐนั่นเอง เพื่อที่จะมาถือเงินสดมากขึ้น

ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในแง่เศรษฐกิจถือว่าเป็นตัวประหลาด แม้ว่าจะผ่านวิกฤตการณ์มามาก แต่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบมาก คาดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวลดลงน้อย เนื่องจากที่ผ่านมาสินเชื่อไม่เจริญโตเลย เนื่องจากไม่ยอมกู้ไม่ยอมลงทุน ทำให้แม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะมีความผันผวนมาก แต่ญี่ปุ่นกลับไม่ได้รับผลกระทบเท่าที่ควร ในแง่เศรษฐกิจจะเจริญเติบโตได้ด้วยการส่งออก โดยเศรษฐกิจทั่วโลก ประเทศที่มีความเปราะบางมักจะพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก แต่การกดดันจะทำให้การส่งออกชะลอตัวลง และทุกประเทศล้วนต้องการหาตลาดใหม่เพื่อมาทดแทน แต่เป็นไปไม่ได้เพราะตลาดมีอยู่เท่าเดิมแต่สิ่งที่ช่วยญี่ปุ่นคือความสามารถในกู้สินเชื่อยังมีอยู่สูง และการที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจน้อย และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาใช้มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้มาตรการทางการคลังเข้ามาช่วย คาดว่าจะสามารถช่วยได้ และจะมีการออกงบประมาณพิเศษที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะ และทำให้หนี้สินสูงถึง 150% ของจีดีพี แต่ยังมีการออมมากกว่าการจ่าย ทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยได้ และน่าจะดีขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศที่น่าจะไปได้อยู่คือ อินเดีย กับจีน และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจยังไปได้ แต่จะมีอัตราการชะลอตัวเล็กน้อย แต่ยังสูงกว่ายุโรป และสหรัฐ แต่เดิมคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถึงจุดต่ำสุดปี 2551 แต่การที่สหรัฐมีการคืนภาษีให้ประชาชน ทำให้ปัญหาดังกล่าวยืดเยื้อออกไปอีก โดยจะเริ่มถึงจุดต่ำสุดในปี 2552 และคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ในปี 2553
นางสาววรารัตน์ จันทร์ชื่น ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 100-110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล โดยมองว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานยังมีอนาคตที่สดใส และเป็นในทิศทางเดียวกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการน่าจะออกดี และยังมีราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งนับว่าเหมาะสมกับการเข้าไปลงทุนในระยะยาว

ส่วนการลงทุนในกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ มองว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ชะลอตัวลงกว่าปีที่ผ่านมา โดย GDP อยู่ที่ 4% แต่ยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข้งแกร่ง โดยยังเป็นระเทศนำเงินไปลงทุนในประเทศอื่นเป็นลำดับต้นของโลก โดยบริษัทเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ และมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสกุลบาทเสมอ
กำลังโหลดความคิดเห็น