ยูโอบีปลื้มกองชัวร์เดลี่ ยอดลงทุนเพิ่มเป็น 2.5 พันล้านบาทต่อเดือน หลังอัดงบการตลาดไปกว่า 10 ล้านบาท ระบุแบงก์แข่งแคมเปญดอกเบี้ยกระทบธุรกิจกองทุนรวมชะลอตัว แต่มั่นใจอานิสงส์พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะช่วยให้กองทุนรวมขยายตัวได้ในอนาคต ขณะเดียวกันคาดแบงก์เตรียมปรับตัวหากน้ำบ่อใหม่แทนด้วยการกระตุ้นรายได้จากค่าฟี มากกว่ารายได้จากการปล่อยสินเชื่อ
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมมีอัตราการขยายตัวน้อยมากคือประมาณ 2% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการจัดแคมเปญเงินฝากดอกเบี้ยสูงของธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากเองน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจกองทุนรวมให้ขยายตัวมากขึ้นได้ เพราะสถิติที่ผ่านมาภายหลังมีการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในต่างประเทศ ธุรกิจกองทุนจะเติบโตขึ้นเสมอ
“ประเทศไทยมีธุรกิจกองทุนรวมมาเพียง 16-17 ปี แต่ในต่างประเทศนั้นมีมานานมากแล้ว โดยใน 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมบ้านเราถือว่ามีการเติบโตสูงมาก ถึงแม้จะชะลอในปีนี้ แต่เมื่อดูจากเงินฝากในระบบทีสูงถึง 6.9 ล้านล้านบาท กับเม็ดเงินในธุรกิจกองทุนรวมทีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทแล้ว เชื่อว่าต่อจากนี้กองทุนรวมคงจะยังขยายตัวได้ต่อไป”นายวนากล่าว
นายวนา กล่าวอีกว่า ในอนาคตต่อจากนี้คาดว่าธนาคารพาณิชย์เองจะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งอาจจะต้องหันมาดูในเรื่องของค่าธรรมเนียมที่ไม่มีต้นทุนมากขึ้น ซึ่งหากยังเน้นรายได้จากการปล่อยสินเชื่อ จะทำให้มีต้นทุนเพิ่มมากขึ้นในการสำรองเงิน โดยจะส่งผลในการระดมเงินฝากได้
“แบงก์คงต้องปรับตัวในด้านรายได้มากขึ้นจากเดิมที่เน้นในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ แต่สิ่งที่น่าจะเห็นหลังจากนี้คือการหารายได้ด้านค่าธรรมเนียม และที่ผ่านมาคงจะเห็นบางแล้วในเรื่องการขายประกัน และในส่วนของกองทุนรวม ซึ่งคนไทยกว่า 70% ยังผูกพันกับการใช้บริการผ่านสาขาธนาคารอยู่ และจะทำให้ได้เปรียบในเรื่องนี้”นายวนากล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์เองคงจะต้องหันมาพึ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ไม่มีต้นทุนแทน และจะเป็นผลดีกับธุรกิจกองทุนรวมมากขึ้นหากแบงก์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ทั้ โดยธนาคารในต่างประเทศจะมีรายได้ในส่วนนี้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับธนาคารในประเทศไทย
นายวนา กล่าวอีกว่า หลังจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากตั้งขึ้นมาแล้ว คาดว่ากองทุนที่จะได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้คือ กองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น และกองทุนมันนี่มาร์เก็ต โดยเท่าที่ผ่านมาสินทรัพย์รวมของกองทุนชัวร์ เดลี่ ของบริษัทซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของภาครัฐ ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 14 วันได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
สำหรับสินทรัพย์รวมล่าสุดของกองทุนนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากสิ้นปี 2550 ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 14,200 บัญชี ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 2-3% โดยบริษัทตั้งเป้าว่าขนาดของกองทุนจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 5 หมื่นล้านในช่วงสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในกองทุนนี้ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทยังได้มีการใช้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาทเพื่อโปรโมทกองทุน โดยได้มีการนำเพลง "ตัดสินใจ" ซึ่งแต่งโดย บอย โกสิยพงษ์ และขับร้องโดยป๊อด โมเดิร์นด๊อก พร้อมทั้งนำตัว พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกในโปรโมตกองทุนโดยเฉพาะ
“กองชัวร์เดลี่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนดี หลังจากที่เราทำการตลาดไป ซึ่งยอดเงินลงทุนจากเดิมของกองทุนจะเข้ามาประมาณเดือนละ 2 พันล้านบาท แต่เมื่อมีการทำตลาดไปก็มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเป็นเดือนละกว่า 2.5 พันล้านบาท นอกจากนี้เรายังจะนำกองทุนนี้ไปไว้สำหรับพักเงินลงทุนในตลาดหุ้น โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจราจากับโบรก์เกอร์เจ้าใหญ่รายหนึ่งอยู่”นายวนากล่าว
นายวนา กล่าวอีกว่า สำหรับสินทพรัย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ของบริษัทขณะนี้ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคาพาณิชย์ พอสมควรโดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาติดลบลงไปเล็กน้อย ทำให้ในปีนี้อาจจะต้องมีการปรับประมาณการณ์การขยายตัวของ AUM ลง
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมมีอัตราการขยายตัวน้อยมากคือประมาณ 2% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการจัดแคมเปญเงินฝากดอกเบี้ยสูงของธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากเองน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจกองทุนรวมให้ขยายตัวมากขึ้นได้ เพราะสถิติที่ผ่านมาภายหลังมีการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในต่างประเทศ ธุรกิจกองทุนจะเติบโตขึ้นเสมอ
“ประเทศไทยมีธุรกิจกองทุนรวมมาเพียง 16-17 ปี แต่ในต่างประเทศนั้นมีมานานมากแล้ว โดยใน 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมบ้านเราถือว่ามีการเติบโตสูงมาก ถึงแม้จะชะลอในปีนี้ แต่เมื่อดูจากเงินฝากในระบบทีสูงถึง 6.9 ล้านล้านบาท กับเม็ดเงินในธุรกิจกองทุนรวมทีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทแล้ว เชื่อว่าต่อจากนี้กองทุนรวมคงจะยังขยายตัวได้ต่อไป”นายวนากล่าว
นายวนา กล่าวอีกว่า ในอนาคตต่อจากนี้คาดว่าธนาคารพาณิชย์เองจะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งอาจจะต้องหันมาดูในเรื่องของค่าธรรมเนียมที่ไม่มีต้นทุนมากขึ้น ซึ่งหากยังเน้นรายได้จากการปล่อยสินเชื่อ จะทำให้มีต้นทุนเพิ่มมากขึ้นในการสำรองเงิน โดยจะส่งผลในการระดมเงินฝากได้
“แบงก์คงต้องปรับตัวในด้านรายได้มากขึ้นจากเดิมที่เน้นในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ แต่สิ่งที่น่าจะเห็นหลังจากนี้คือการหารายได้ด้านค่าธรรมเนียม และที่ผ่านมาคงจะเห็นบางแล้วในเรื่องการขายประกัน และในส่วนของกองทุนรวม ซึ่งคนไทยกว่า 70% ยังผูกพันกับการใช้บริการผ่านสาขาธนาคารอยู่ และจะทำให้ได้เปรียบในเรื่องนี้”นายวนากล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์เองคงจะต้องหันมาพึ่งรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ไม่มีต้นทุนแทน และจะเป็นผลดีกับธุรกิจกองทุนรวมมากขึ้นหากแบงก์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ทั้ โดยธนาคารในต่างประเทศจะมีรายได้ในส่วนนี้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับธนาคารในประเทศไทย
นายวนา กล่าวอีกว่า หลังจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากตั้งขึ้นมาแล้ว คาดว่ากองทุนที่จะได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้คือ กองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น และกองทุนมันนี่มาร์เก็ต โดยเท่าที่ผ่านมาสินทรัพย์รวมของกองทุนชัวร์ เดลี่ ของบริษัทซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของภาครัฐ ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 14 วันได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
สำหรับสินทรัพย์รวมล่าสุดของกองทุนนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากสิ้นปี 2550 ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท และมีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 14,200 บัญชี ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 2-3% โดยบริษัทตั้งเป้าว่าขนาดของกองทุนจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 5 หมื่นล้านในช่วงสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในกองทุนนี้ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทยังได้มีการใช้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาทเพื่อโปรโมทกองทุน โดยได้มีการนำเพลง "ตัดสินใจ" ซึ่งแต่งโดย บอย โกสิยพงษ์ และขับร้องโดยป๊อด โมเดิร์นด๊อก พร้อมทั้งนำตัว พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกในโปรโมตกองทุนโดยเฉพาะ
“กองชัวร์เดลี่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนดี หลังจากที่เราทำการตลาดไป ซึ่งยอดเงินลงทุนจากเดิมของกองทุนจะเข้ามาประมาณเดือนละ 2 พันล้านบาท แต่เมื่อมีการทำตลาดไปก็มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเป็นเดือนละกว่า 2.5 พันล้านบาท นอกจากนี้เรายังจะนำกองทุนนี้ไปไว้สำหรับพักเงินลงทุนในตลาดหุ้น โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจราจากับโบรก์เกอร์เจ้าใหญ่รายหนึ่งอยู่”นายวนากล่าว
นายวนา กล่าวอีกว่า สำหรับสินทพรัย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ของบริษัทขณะนี้ ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคาพาณิชย์ พอสมควรโดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาติดลบลงไปเล็กน้อย ทำให้ในปีนี้อาจจะต้องมีการปรับประมาณการณ์การขยายตัวของ AUM ลง