ใกล้ผ่านมาครึ่งทางสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 แล้ว เศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกก็จะถึงช่วงสิ้นปี จึงทำให้บรรดานักลงทุนต่างๆ เริ่มที่จะมีการปรับการลงทุนของตนเองในช่วงที่เศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเรื่องของราคานํ้ามันรวมทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ที่ในขณะนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มกลับมาให้เห็นบ้างแล้ว เห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นของไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นไปกว่า 30 จุด
ในส่วนของประเทศไทย ก็ได้รับผลดีจากเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่เศรษฐกิจของไทยใน 2 ไตรมาสที่เหลือจากนี้แนวโน้มจะเป็นอย่างไรต่อไป วันนี้มีมุมมองที่น่าสนใจในเรื่องนี้จากทาง บลจ. ฟินันซ่า ที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มาฝากกัน
มนต์ชัย จาติรันต์ภิญโภประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศ ไทยในช่วงที่ผ่านมานั้นได้รับผลกระทบจากเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อ รวมทั้งเรื่องของปัจจัยทางการเมืองที่ส่งผลต่ออารมณ์ของนักลงทุน แต่เมื่อมองในภาพกว้างแล้ว เศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับผลดีจากเรื่องของการส่งออก แม้ว่าภาวะการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศจะลดลงก็ตาม ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้จะมีและอัตราการเติบโตอยู่ที่ระดับ 5% แต่อย่างไรก็ตามเรื่องของราคานํ้ามันยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญอยู่
ทั้งนี้ใประเทศไทยนั้นมีการผลิตสินค้าเกษตรในปริมาณที่มากซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทย เพราะมีนัยที่ส่งผลต่อรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศโดยมีผลทำให้เกิดการบริโภคหมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันการส่งออกสินค้าเกษตรยังส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้น แต่ในส่วนของการส่งออกของไทยยังได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประสบปัญหาอย่างหนัก จึงมีผลทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้มีการปรับตัวลดลงมาบ้าง
ขณะที่ในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ นายมนต์ชัย มองว่า ในระยะต่อจากนี้ไปภาวะเงินเฟ้อน่าจะมีการปรับตัวลดลงเพราะอัตราเงินเฟ้อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นแล้วเมื่อเงินเฟ้อปรับตัวลดลงน่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่ยังคงต้องมองไปที่เรื่องราคานํ้ามันเป็นหลักอยู่ซึ่งหากราคานํ้ามันปรับตัวลดลงเศรษฐกิจน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย นายมนต์ชัย ระบุว่า ราคาหุ้นในตลาดของไทยนั้นมีราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับราคาของตลาดหุ้นในประเทศเพื่อนบ้าน โดยมียังมีปัจจัยที่สำคัญอยู่ 3 ประการที่จะเป็นตัวผลักดันให้กับตลาดหุ้นไทย คือ ปัจจัยในเรื่องของเศรษฐกิจโลกซึ่งคงต้องรอเวลาอีกสักพักหนึ่ง เศรษฐกิจโลกจึงจะกลับมาฟื้นตัว ปัจจัยต่อมาคือเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ในขณะนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้น และปัจจัยสุดท้ายคือ เรื่องของการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลองลงมาจากเรื่องของเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยลบที่ทำให้เศรษฐกิจของปะเทศล้มลงแต่อย่างใดเพียงแต่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินช้ากว่าประเทศอื่นเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว ในปีนี้ตลาดหุ้นของไทยน่าจะคงอยู่ในภาวะประคองตัว ส่วนในระยะยาวแล้วหุ้นในกลุ่มพลังงานจะมีความน่าสนใจ รวมถึงหุ้นในกลุ่มธนาคารต่างๆ ที่ในช่วงระยะสั้นอาจยังไม่ดีนัก แต่เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาวมากกว่า
ด้านของตลาดหุ้นทั่วโลกนั้น นายมนต์ชัย กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงระยะสั้นๆ อาจจะมีการแกว่งตัวบ้างแต่ในระยะยาวเชื่อว่าหุ้นแต่ละตัวจะดีขึ้นตามภาวะของบริษัทที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจของโลกที่โตขึ้น รวมทั้งหุ้นในตลาดของประเทศสหรัฐอเมริกาเองที่มองว่าในระยะยาวแล้วมีความน่าลงทุน
นอกจากนี้ในเรื่องของสินค้าโภคภัณฑ์นั้น จากมุมมองของทาง บลจ. ฟินันซ่า มองว่าสินค้าโภคภัณฑ์มีการแกว่งตัวอันเนื่องมาจากราคานํ้ามันที่มีความผันผวน แต่ในระยะยาวแล้วความต้องการใช้สินค้าโภคภัณฑ์จะมีปริมาณมากขึ้นโดยเฉพาะในจีนกับอินเดีย และเชื่อว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ราคานํ้ามันจะปรับตัวขึ้นไปและทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ สูงตามไปด้วย และส่วนหนึ่งมองว่าเศรษฐกิจของประเทศจีนหลังจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกหากมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ สูงขึ้นตามไปด้วย