คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500
ภาวะของตลาดการลงทุนเมื่ออยู่ในช่วงขาลง (Bear Market) ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูผิดพลาดไปหมด และยิ่งจะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นอีกหากไม่สามารถใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อเข้ามาช่วยจำกัดความเสียหายของพอร์ตโฟลิโอได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วคงต้องหันมาใช้กลยุทธ์ตามที่จั่วหัวไว้ในบทความของสัปดาห์นี้ คือ Wait and See หรือ รอดูจังหวะที่เหมาะสม ช่วงที่ผ่านมานักวิเคราะห์ให้ความเห็นที่แตกต่างกัน บางแห่งพูดถึงการเริ่มของตลาดขาลง แต่ก็มีบางแห่งยังหวังให้มีการกลับตัวได้ทันก่อนจะเข้าสู่ตลาดขาลง
หากใช้ค่าทางด้านตัวเลขที่กำหนดกันว่า ตลาดเข้าสู่ภาวะขาลงเมื่อไร ที่ยอมรับและนิยมใช้กันก็คือ ตลาดลดลงมากกว่า 20% สำหรับดัชนี SET ของบ้านเราทำสถิติสูงสุดรอบล่าสุดที่ 924.70 เมื่อ 11 พ.ย. 50 ถ้าใช้กฎดังกล่าวมาคำนวณก็บ่งชี้ได้ว่า ตลาดของไทยได้เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงเมื่อดัชนีลดลงต่ำกว่า 739.76 ซึ่งได้มีสัญญาณเตือนภัยครั้งแรกไปเมื่อ 20 มิ.ย. 51 ที่ระหว่างวันดัชนีลดลงไปแตะ 737.83 หากผู้ที่เชื่อสัญญาณดังกล่าวและได้ออกจากตลาดไปเมื่อดัชนีดีดกลับมา ณ ระดับ 787 จุด ก็คงจะรอดพ้นจากภัยวิบัติเสมือนได้รอดจากคลื่นสึนามิที่กำลังถาโถมใส่นักลงทุนอยู่
ทั้งนี้ ตลาดขาลงเพิ่งจะได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 7 ก.ค. 51 นี้เอง เมื่อดัชนี SET ปิดไปที่ 730.56 หรือลดลงจากจุดสูงสุด 21% นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ยังไม่มีวันไหนเลยที่ดัชนีจะสามารถปิดได้เหนือระดับดังกล่าว ฉะนั้นการมีสภาพคล่องหรือสัดส่วนที่เป็นเงินสดของพอร์ตโฟลิโอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรจะมีไม่น้อยกว่า 50% โดยอาจจะพักไว้ในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตลาดเงินและสามารถทำการซื้อ/ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน
ผู้ลงทุนอย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ ทุกอย่างมีโอกาสพลิกฟื้น ล้มได้แต่ต้องลุกขึ้นมาให้เร็ว เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม เช่นเดียวกับบรรยากาศการท่องเที่ยวภาคใต้ของไทยเรา หลังจากที่ได้รับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้สวยงามเช่นเดิมหรืออาจจะดีกว่าเดิมในบางแห่ง ก็ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาใช้บริการกันอย่างหนาแน่น และเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาดทุนเมื่อมีความชัดเจนของสภาพเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ออกมาตอกย้ำถึงอัตราการเติบโตแล้ว ราคาของหลักทรัพย์ก็จะขยับตัวสูงขึ้นได้อย่างแน่นอน
สำหรับตลาดหุ้นเมืองจีน ดัชนี SSEC เมื่อสิ้นสัปดาห์ก่อน ยังไม่มีสัญญาณตัดขึ้นของ Modified Stochastic และไม่มีการตัดเส้นศูนย์ของ MACD Oscillator จึงยังคงต้องติดตามและเฝ้ารอสัญญาณการลงทุนกันต่อไป เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศจีน แม้ว่าจะลดลงบ้างเมื่อเทียบกับ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย
ส่วนการลงทุนในทองคำ ก็มีการพักตัวลงมาเล็กน้อย ตามราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงมากว่า 16 เหรียญในสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับ 988 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แล้วลดต่ำลงมีแนวรับที่ 920 - 930 เหรียญ และค่าเงินสหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาทก็ขึ้นไปแตะระดับ 33.76 บาท แล้วอ่อนค่าลงเช่นกัน แนวรับที่ 32.90 - 33.00 บาท ทั้งนี้ ณ ระดับแนวรับของราคาทองคำและค่าเงิน อาจจะเป็นจังหวะที่สามารถเข้าลงทุนได้เหมาะกับการลงทุนในระยะสั้นระดับ 3 - 6 เดือน
อากาศช่วงนี้เย็นสบาย มีสายฝนให้เห็นเป็นบางวัน ตกแบบพรำ ๆ ช่างเป็นช่วงที่เหมาะกับการพักผ่อน ตามบรรยากาศของฤดูกาลเข้าพรรษา เพื่อหลบฝนสำหรับการลงทุนจริง ๆ
“Don’t try to catch a falling knife”
“Sometimes, doing nothing is better than doing something (wrong)”
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”
ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500
ภาวะของตลาดการลงทุนเมื่ออยู่ในช่วงขาลง (Bear Market) ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูผิดพลาดไปหมด และยิ่งจะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นอีกหากไม่สามารถใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อเข้ามาช่วยจำกัดความเสียหายของพอร์ตโฟลิโอได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วคงต้องหันมาใช้กลยุทธ์ตามที่จั่วหัวไว้ในบทความของสัปดาห์นี้ คือ Wait and See หรือ รอดูจังหวะที่เหมาะสม ช่วงที่ผ่านมานักวิเคราะห์ให้ความเห็นที่แตกต่างกัน บางแห่งพูดถึงการเริ่มของตลาดขาลง แต่ก็มีบางแห่งยังหวังให้มีการกลับตัวได้ทันก่อนจะเข้าสู่ตลาดขาลง
หากใช้ค่าทางด้านตัวเลขที่กำหนดกันว่า ตลาดเข้าสู่ภาวะขาลงเมื่อไร ที่ยอมรับและนิยมใช้กันก็คือ ตลาดลดลงมากกว่า 20% สำหรับดัชนี SET ของบ้านเราทำสถิติสูงสุดรอบล่าสุดที่ 924.70 เมื่อ 11 พ.ย. 50 ถ้าใช้กฎดังกล่าวมาคำนวณก็บ่งชี้ได้ว่า ตลาดของไทยได้เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงเมื่อดัชนีลดลงต่ำกว่า 739.76 ซึ่งได้มีสัญญาณเตือนภัยครั้งแรกไปเมื่อ 20 มิ.ย. 51 ที่ระหว่างวันดัชนีลดลงไปแตะ 737.83 หากผู้ที่เชื่อสัญญาณดังกล่าวและได้ออกจากตลาดไปเมื่อดัชนีดีดกลับมา ณ ระดับ 787 จุด ก็คงจะรอดพ้นจากภัยวิบัติเสมือนได้รอดจากคลื่นสึนามิที่กำลังถาโถมใส่นักลงทุนอยู่
ทั้งนี้ ตลาดขาลงเพิ่งจะได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 7 ก.ค. 51 นี้เอง เมื่อดัชนี SET ปิดไปที่ 730.56 หรือลดลงจากจุดสูงสุด 21% นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ยังไม่มีวันไหนเลยที่ดัชนีจะสามารถปิดได้เหนือระดับดังกล่าว ฉะนั้นการมีสภาพคล่องหรือสัดส่วนที่เป็นเงินสดของพอร์ตโฟลิโอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรจะมีไม่น้อยกว่า 50% โดยอาจจะพักไว้ในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตลาดเงินและสามารถทำการซื้อ/ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน
ผู้ลงทุนอย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ ทุกอย่างมีโอกาสพลิกฟื้น ล้มได้แต่ต้องลุกขึ้นมาให้เร็ว เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม เช่นเดียวกับบรรยากาศการท่องเที่ยวภาคใต้ของไทยเรา หลังจากที่ได้รับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้สวยงามเช่นเดิมหรืออาจจะดีกว่าเดิมในบางแห่ง ก็ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาใช้บริการกันอย่างหนาแน่น และเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาดทุนเมื่อมีความชัดเจนของสภาพเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ออกมาตอกย้ำถึงอัตราการเติบโตแล้ว ราคาของหลักทรัพย์ก็จะขยับตัวสูงขึ้นได้อย่างแน่นอน
สำหรับตลาดหุ้นเมืองจีน ดัชนี SSEC เมื่อสิ้นสัปดาห์ก่อน ยังไม่มีสัญญาณตัดขึ้นของ Modified Stochastic และไม่มีการตัดเส้นศูนย์ของ MACD Oscillator จึงยังคงต้องติดตามและเฝ้ารอสัญญาณการลงทุนกันต่อไป เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศจีน แม้ว่าจะลดลงบ้างเมื่อเทียบกับ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย
ส่วนการลงทุนในทองคำ ก็มีการพักตัวลงมาเล็กน้อย ตามราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงมากว่า 16 เหรียญในสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับ 988 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แล้วลดต่ำลงมีแนวรับที่ 920 - 930 เหรียญ และค่าเงินสหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาทก็ขึ้นไปแตะระดับ 33.76 บาท แล้วอ่อนค่าลงเช่นกัน แนวรับที่ 32.90 - 33.00 บาท ทั้งนี้ ณ ระดับแนวรับของราคาทองคำและค่าเงิน อาจจะเป็นจังหวะที่สามารถเข้าลงทุนได้เหมาะกับการลงทุนในระยะสั้นระดับ 3 - 6 เดือน
อากาศช่วงนี้เย็นสบาย มีสายฝนให้เห็นเป็นบางวัน ตกแบบพรำ ๆ ช่างเป็นช่วงที่เหมาะกับการพักผ่อน ตามบรรยากาศของฤดูกาลเข้าพรรษา เพื่อหลบฝนสำหรับการลงทุนจริง ๆ
“Don’t try to catch a falling knife”
“Sometimes, doing nothing is better than doing something (wrong)”
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”