บลจ.กรุงไทย ส่งกองทุนตราสารหนี้ 3 กองทุนลุยตลาดสัปดาห์นี้ เสนอทางเลือกลงทุนทั้งในประเทศแบบคุ้มครองเงินต้น และต่างประเทศผ่าน ECP ของสถาบันการเงินชั้นนำ คาดการณ์ผลตอบแทน 4.30%ต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่าย พร้อมเพิ่มช่องทางเข้าถึงลูกค้า ผ่านสาขา 6 ธนาคารใหญ่
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้อีกจำนวน 3 กองทุน ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6 เดือน 10 ( KTFIF6M10) กองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น51 (KTCP51) และ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น44 ( KT3M44)
โดยกองทุน KTFIF6M10 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 3,100 ล้านบาท จะเปิดจำหน่ายในระหว่างวันที่ 15 - 21 กรกฎาคม โดยจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภทตราสารการเงินของสถาบันการเงินต่างประเทศ (Euro Commercial Paper : ECP) ของสถาบันการเงินชั้นนำ ที่มีอันดับความเชื่อถือระยะสั้น 2 อันดับแรกขึ้นไป เบื้องต้นจะเน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงินในเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป หรือเอเชียประเทศอื่นๆ ซึ่งผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 4.30%ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน
นอกจากนี้ ยังเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุน KTCP51 อายุโครงการ 6 เดือน และกองทุน KT3M44 อายุโครงการ 3 เดือนมูลค่าโครงการกองทุนละ 2,000 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 16-22 กรกฎาคม โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารที่ก่อให้เกิดการคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝาก ที่บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นผู้ออกเพื่อการกู้ยืมหรือรับเงินจากประชาชน เงินฝากในธนาคารพาณิชย์หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก ผลตอบแทนของตราสารอายุ 6 เดือน โดยประมาณอยู่ที่ 3.40 % ต่อปี และ อายุ 3 เดือนอยู่ที่ 3.25 % ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.375 % ต่อปี ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ช่องทางการจำหน่ายหน่วยลงทุนของบริษัท นอกจากผ่านสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั่วประเทศแล้ว บริษัทได้เพิ่มช่องทางการซื้อขายหน่วยลงทุน เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกมากขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป ลูกค้าสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนทุกกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารและจัดการของบริษัท ผ่านเคาน์เตอร์ทุกสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้อีกจำนวน 3 กองทุน ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารต่างประเทศ 6 เดือน 10 ( KTFIF6M10) กองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น51 (KTCP51) และ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น44 ( KT3M44)
โดยกองทุน KTFIF6M10 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 3,100 ล้านบาท จะเปิดจำหน่ายในระหว่างวันที่ 15 - 21 กรกฎาคม โดยจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภทตราสารการเงินของสถาบันการเงินต่างประเทศ (Euro Commercial Paper : ECP) ของสถาบันการเงินชั้นนำ ที่มีอันดับความเชื่อถือระยะสั้น 2 อันดับแรกขึ้นไป เบื้องต้นจะเน้นลงทุนในตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงินในเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป หรือเอเชียประเทศอื่นๆ ซึ่งผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 4.30%ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน
นอกจากนี้ ยังเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุน KTCP51 อายุโครงการ 6 เดือน และกองทุน KT3M44 อายุโครงการ 3 เดือนมูลค่าโครงการกองทุนละ 2,000 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 16-22 กรกฎาคม โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารที่ก่อให้เกิดการคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝาก ที่บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นผู้ออกเพื่อการกู้ยืมหรือรับเงินจากประชาชน เงินฝากในธนาคารพาณิชย์หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก ผลตอบแทนของตราสารอายุ 6 เดือน โดยประมาณอยู่ที่ 3.40 % ต่อปี และ อายุ 3 เดือนอยู่ที่ 3.25 % ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.375 % ต่อปี ก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ช่องทางการจำหน่ายหน่วยลงทุนของบริษัท นอกจากผ่านสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั่วประเทศแล้ว บริษัทได้เพิ่มช่องทางการซื้อขายหน่วยลงทุน เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกมากขึ้น โดยตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป ลูกค้าสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนทุกกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารและจัดการของบริษัท ผ่านเคาน์เตอร์ทุกสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
