ที่ผ่านมา มีคำถามหนึ่งที่ดิฉันมักได้ยินจากผู้ลงทุนหลายๆ ท่าน เรียกว่าเป็นคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF เลยก็ว่าได้ นั่นคือ ช่วงเวลาหรือจังหวะเวลาในการเข้าซื้อกองทุน RMF และ LTF ที่ลงทุนในหุ้น ว่าควรจะเป็นช่วงเวลาใดที่จะเหมาะสมมากที่สุด
บางคนก็บอกว่าน่าจะซื้อตั้งแต่ต้นปี เพราะถ้าหากปลายปีหุ้นขึ้นจะได้มีกำไร... บางคนก็บอกว่าถ้าซื้อตอนกลางปีน่าจะดีกว่า เพราะเป็นช่วงที่ทิศทางของหุ้นกำลังปรับฐาน...อีกหลายคนเห็นว่า ควรจะไปซื้อตอนปลายปี แล้วนำไปลดหย่อนภาษีในตอนต้นปีถัดไปได้เลย...
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีการถกเถียงเรื่องเวลาหรือจังหวะที่จะเข้าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม RMF และ LTF ที่เป็นกองทุนหุ้น ซึ่งทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่มีใครถูกหรือผิด เพราะในตลาดทุนไม่มีใครที่จะสามารถคาดคะเนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำ เมื่อไม่มีใครทราบว่า ณ เวลาใด ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นสูงสุดหรือต่ำสุด
ฉะนั้น แนวทางหลักๆ ที่ผู้ลงทุนจะเลือกปฏิบัติได้ก็คือ ถ้าหากคำนึงถึงต้นทุนในการซื้อ ก็สามารถเลือกใช้วิธีซื้อหลายๆ ครั้งในปีหนึ่งๆ หรือจะซื้ออย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ที่เรียกกันว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนอัตโนมัติ (Dollar Cost Averaging) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งจะซื้อครั้งละหรือเดือนละเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุน แต่การซื้อสะสมก็ไม่ควรเกิน 15% ของเงินได้ที่เกิดขึ้นจริงจนถึงขณะนั้น (สิ้นปีจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการคำนวณวงเงินที่สามารถซื้อได้สูงสุด ตามเงื่อนไขการลงทุน) ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนหรือสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะลงทุนได้ระหว่างปี หรือในแต่ละเดือน
สำหรับผู้ลงทุนที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่สามารถคำนวณเงินได้ทั้งปีได้ หรือผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เงินโบนัสที่จะได้รับตอนปลายปีไปซื้อหน่วยลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี อาจไม่สามารถทำอย่างวิธีแรกได้ จึงน่าจะไปลงทุนซื้อเมื่อมีรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น และปรับยอดลงทุนอีกครั้งตอนปลายปี
จะเห็นได้ว่า การจะลงทุนในกองทุน RMF หรือ LTF ที่เป็นกองทุนหุ้นในช่วงจังหวะใดนั้น ไม่ได้อยู่ที่การคาดการณ์แนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่น่าจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการลงทุน ตลอดจนความพร้อมในเรื่องการเงินของผู้ลงทุนเอง เป็นอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในกองทุน RMF หรือ LTF หรือการลงทุนใดๆ ก็ตาม คือ เราจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการลงทุนให้ชัดเจนก่อน ตลอดจนควรจะศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่จะลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน และเมื่อลงทุนไปแล้วก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยติดตาม วิเคราะห์การลงทุนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าไม่ ก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเราต่อไป
สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนในกองทุน RMF แต่มีความกังวลว่าจะต้องลงทุนไปอีกหลายปีกว่าจะเกษียณ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นตก เช่น เกิดการก่อการร้าย พายุถล่ม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆที่ไม่คาดคิด หรือมีโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้น จะมีผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุน RMF ที่ลงทุนอยู่หรือไม่ และจะมีวิธีแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้นในการลงทุนได้อย่างไร
เหตุการณ์ร้ายแรง หรือไม่คาดฝัน มักจะมีโอกาสเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้อยู่เสมอ แต่ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก หากยังมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะเกษียณ คุณสามารถคงอยู่ใน RMF ที่เป็นกองหุ้นได้ และถ้าหากคุณลงทุนสม่ำเสมอ ในเดือนใดที่ราคาหุ้นหรือราคา NAV ลดลง คุณก็จะสามารถซื้อเพิ่มในเดือนนี้ได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง แต่สำหรับผู้ที่มีอายุการทำงานคงเหลือไม่กี่ปี อาจจะต้องพิจารณาการโอนย้ายเงินลงทุนจากกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นซึ่งมีระดับความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคาหุ้น ไปยังกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งจะมีระดับความเสี่ยงต่ำกว่า หรือกองทุนผสมที่มีสัดส่วนของตราสารหนี้มากกว่าหุ้น
ข้อดีของกองทุน RMF คือคุณสามารถที่จะเลือกนโยบายการลงทุนได้ด้วยตนเอง และยังสามารถโอนย้ายเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดจากกองทุน RMF หนึ่ง ไปยังกองทุน RMF อื่นๆได้ ไม่ว่าจะกองทุนเดียว หรือหลายกองทุนก็ตาม ทั้งที่เป็นกองทุน RMF ภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการเดียวกัน หรือต่างบริษัทจัดการก็ได้
เมื่อเห็นว่ากองทุน RMF ที่คุณลงทุนไปนั้น มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตินั้นจริงๆ และจะต่อเนื่องยาวนาน แต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าอย่าโอนย้ายเงินกองทุน RMF เพื่อความเพลิดเพลิน หรือตระหนกตกใจกับสภาวะผันผวนเพียงช่วงสั้นๆ จากสถานการณ์ต่างๆ เพราะคุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอนย้ายกองทุน ในกรณีที่บริษัทจัดการบางแห่งมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้ และอาจโอนย้ายเงินลงทุนในจังหวะเวลาซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเงินกองทุน RMF ที่คุณสะสมลงทุนไว้เพื่อใช้ในวัยหลังเกษียณก็เป็นได้
บางคนก็บอกว่าน่าจะซื้อตั้งแต่ต้นปี เพราะถ้าหากปลายปีหุ้นขึ้นจะได้มีกำไร... บางคนก็บอกว่าถ้าซื้อตอนกลางปีน่าจะดีกว่า เพราะเป็นช่วงที่ทิศทางของหุ้นกำลังปรับฐาน...อีกหลายคนเห็นว่า ควรจะไปซื้อตอนปลายปี แล้วนำไปลดหย่อนภาษีในตอนต้นปีถัดไปได้เลย...
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีการถกเถียงเรื่องเวลาหรือจังหวะที่จะเข้าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม RMF และ LTF ที่เป็นกองทุนหุ้น ซึ่งทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่มีใครถูกหรือผิด เพราะในตลาดทุนไม่มีใครที่จะสามารถคาดคะเนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำ เมื่อไม่มีใครทราบว่า ณ เวลาใด ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นสูงสุดหรือต่ำสุด
ฉะนั้น แนวทางหลักๆ ที่ผู้ลงทุนจะเลือกปฏิบัติได้ก็คือ ถ้าหากคำนึงถึงต้นทุนในการซื้อ ก็สามารถเลือกใช้วิธีซื้อหลายๆ ครั้งในปีหนึ่งๆ หรือจะซื้ออย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ที่เรียกกันว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนอัตโนมัติ (Dollar Cost Averaging) เพื่อเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งจะซื้อครั้งละหรือเดือนละเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุน แต่การซื้อสะสมก็ไม่ควรเกิน 15% ของเงินได้ที่เกิดขึ้นจริงจนถึงขณะนั้น (สิ้นปีจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดในการคำนวณวงเงินที่สามารถซื้อได้สูงสุด ตามเงื่อนไขการลงทุน) ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอนหรือสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะลงทุนได้ระหว่างปี หรือในแต่ละเดือน
สำหรับผู้ลงทุนที่มีรายได้ไม่แน่นอน ไม่สามารถคำนวณเงินได้ทั้งปีได้ หรือผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เงินโบนัสที่จะได้รับตอนปลายปีไปซื้อหน่วยลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี อาจไม่สามารถทำอย่างวิธีแรกได้ จึงน่าจะไปลงทุนซื้อเมื่อมีรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น และปรับยอดลงทุนอีกครั้งตอนปลายปี
จะเห็นได้ว่า การจะลงทุนในกองทุน RMF หรือ LTF ที่เป็นกองทุนหุ้นในช่วงจังหวะใดนั้น ไม่ได้อยู่ที่การคาดการณ์แนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเสมอไป แต่น่าจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการลงทุน ตลอดจนความพร้อมในเรื่องการเงินของผู้ลงทุนเอง เป็นอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในกองทุน RMF หรือ LTF หรือการลงทุนใดๆ ก็ตาม คือ เราจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการลงทุนให้ชัดเจนก่อน ตลอดจนควรจะศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่จะลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน และเมื่อลงทุนไปแล้วก็ยังมีหน้าที่ต้องคอยติดตาม วิเคราะห์การลงทุนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าไม่ ก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเราต่อไป
สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนในกองทุน RMF แต่มีความกังวลว่าจะต้องลงทุนไปอีกหลายปีกว่าจะเกษียณ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้หุ้นตก เช่น เกิดการก่อการร้าย พายุถล่ม หรือภัยธรรมชาติอื่นๆที่ไม่คาดคิด หรือมีโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้น จะมีผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุน RMF ที่ลงทุนอยู่หรือไม่ และจะมีวิธีแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้นในการลงทุนได้อย่างไร
เหตุการณ์ร้ายแรง หรือไม่คาดฝัน มักจะมีโอกาสเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้อยู่เสมอ แต่ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก หากยังมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะเกษียณ คุณสามารถคงอยู่ใน RMF ที่เป็นกองหุ้นได้ และถ้าหากคุณลงทุนสม่ำเสมอ ในเดือนใดที่ราคาหุ้นหรือราคา NAV ลดลง คุณก็จะสามารถซื้อเพิ่มในเดือนนี้ได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง แต่สำหรับผู้ที่มีอายุการทำงานคงเหลือไม่กี่ปี อาจจะต้องพิจารณาการโอนย้ายเงินลงทุนจากกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นซึ่งมีระดับความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคาหุ้น ไปยังกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งจะมีระดับความเสี่ยงต่ำกว่า หรือกองทุนผสมที่มีสัดส่วนของตราสารหนี้มากกว่าหุ้น
ข้อดีของกองทุน RMF คือคุณสามารถที่จะเลือกนโยบายการลงทุนได้ด้วยตนเอง และยังสามารถโอนย้ายเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดจากกองทุน RMF หนึ่ง ไปยังกองทุน RMF อื่นๆได้ ไม่ว่าจะกองทุนเดียว หรือหลายกองทุนก็ตาม ทั้งที่เป็นกองทุน RMF ภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการเดียวกัน หรือต่างบริษัทจัดการก็ได้
เมื่อเห็นว่ากองทุน RMF ที่คุณลงทุนไปนั้น มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตินั้นจริงๆ และจะต่อเนื่องยาวนาน แต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าอย่าโอนย้ายเงินกองทุน RMF เพื่อความเพลิดเพลิน หรือตระหนกตกใจกับสภาวะผันผวนเพียงช่วงสั้นๆ จากสถานการณ์ต่างๆ เพราะคุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอนย้ายกองทุน ในกรณีที่บริษัทจัดการบางแห่งมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้ และอาจโอนย้ายเงินลงทุนในจังหวะเวลาซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเงินกองทุน RMF ที่คุณสะสมลงทุนไว้เพื่อใช้ในวัยหลังเกษียณก็เป็นได้
