ต้นกล้ารับรู้ถึงความรู้สึกตื่นเต้น และตกใจของอาร์มเป็นอย่างดี เพราะตอนนี้ตัวอาร์มสั่นไปทั้งตัว หลังจากได้เห็นภาพของกระปุกออมสินพูดได้ แถมยังขยับตัวได้อีกด้วย...ก็ใครจะคิดละว่า จะมีอะไรแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้
“มัน....มันไม่ใช่ของเล่นใช่ไหมครับพี่ต้น” น้ำเสียงของอาร์มยังบอกถึงความตื่นเต้นอยู่
“ใช่...มันไม่ใช่ของเล่น แต่มันเป็นกระปุกออมสินที่มีชีวิต” ต้นกล้าพยายามพูดเพื่อไม่ให้อาร์มรู้สึกตื่นเต้นไปมากกว่านี้
“มีชีวิต”
“ใช่...มันมีชีวิต อาร์มตั้งใจฟังให้ดีนะ ไหนๆ อาร์มก็รู้เห็นทุกอย่างแล้ว พี่จะเล่าให้ฟังทั้งหมด...แต่อาร์มต้องสัญญากับพี่ก่อนว่า จะไม่เล่าเรื่องวันนี้ให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว” ต้นกล้ามองหน้าอาร์ม สายตาเขายังจ้องมองไปที่กระปุก ที่ยังนิ่งเงียบ ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูดไม่จา
“เออ....ได้ครับ ไม่เล่าให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว”
“สัญญา”
“ครับพี่ต้น อาร์มสัญญา”
หลังจากที่ต้นกล้ามั่นใจแล้วว่า อาร์มจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟัง เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับกระปุกให้อาร์มฟัง ตั้งแต่เจอกระปุกครั้งแรก จนถึงวันที่อาร์มได้มาเห็น...อาร์มเองนั่งฟังด้วยความสนใจ ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่กระปุกเป็นระยะ
“คุณลุงกับคุณป้า ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอครับพี่ต้น” ตอนนี้อาร์มหายตื่นเต้นลงบ้างแล้ว
“ใช่...กระปุกไม่อยากให้มันเกิดปัญหาตามมาทีหลัง พี่เองก็ไม่อยากให้กระปุกลำบากใจด้วย...แต่ก็ไม่รู้จะปิดไปได้อีกนานแค่ไหน”
“แล้วกระ...กระปุกไม่เหงาแย่เหรอ เพราะพี่ถ้าพี่ต้นไปทำงานก็ต้องอยู่คนเดียว” อาร์มลองหันไปคุยกับกระปุกดู ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งแล้ว
กระปุกหันมามองหน้าต้นกล้า เหมือนพยายามจะถามว่า เขาสามารถพูดได้ไหม...ต้นกล้าพยักหน้าตอบรับ “ก็มีบ้าง แต่ก็ได้ต้นกล้านี่แหละช่วย...โดยเฉพาะเรื่องชวนปวดหัว เขาถนัดนักเชียว” กระปุกหันไปยิ้มให้ต้นกล้า
“อ้าว...ไหงพูดแบบนี้ละ อาร์มไม่ต้องรักษาสัญญาแล้วนะ จะบอกใครก็ได้ ตามสบายเลย” ต้นกล้าแกล้งแหย่ทำเป็นน้อยใจ
“กระปุกล้อเล่นน่า...แหย่นิดหน่อยทำเป็นน้อยใจไปได้”
“งั้นก็แล้วไป” ต้นกล้าทำเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปกระซิบกับอาร์มว่า “ต้องรักษาสัญญาเหมือนเดิมนะ”
“ครับพี่ต้น”
“ต้น...อาร์ม...” เสียงแม่ดังมาจากข้างล่าง
“ครับ” ทั้งสองเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“ทำอะไรกันอยู่ลูก...ลงมาทานข้าวได้แล้ว”
“เดี๋ยวลงไปแล้วครับแม่” ต้นตะโกนกลับไป “เดี๋ยวคืนนี้ค่อยคุยกันต่อนะอาร์ม ตอนนี้ลงไปกินข้าวกันดีกว่า”
“ครับพี่ต้น”
****************************
ต้นกล้าตื่นไปทำงานแต่เช้า...ระหว่างทางเขายังกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าอาร์มจะเผลอพูดอะไรออกไปหรือเปล่า เพราะตอนนี้อาร์มกับน้าเอกกับระยองไปแล้ว แต่เขาก็ยังเชื่อว่าอาร์มจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้...ต้นกล้ามาถึงที่ทำงานด้วยสีหน้าที่ไม่แจ่มใสมากนัก เพราะยังกังวลเรื่องของกระปุกอยู่
“ไง ต้นกล้า” เจ้านายกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับ...เจ้านาย”
“ใจลอยไปถึงไหนนะเรา...มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
“อ๋อ...เปล่าครับ”
ต้นกล้าเดินตรงมาที่ห้องทำงาน...เขาวางกระเป๋าลง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ประจำแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ...คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกน่า ทำงานดีกว่า”
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้นกล้าทำทุกวัน โดยเฉพาะข่าวสารด้านการลงทุนที่ต้องบริโภคเป็นคลังข้อมูลเก็บไว้...สายตาของต้นกล้าไปสะดุดเข้ากับบทความชิ้นหนึ่ง เขาพาดหัวเอาไว้ว่า “เงินเฟ้อสูงแบบนี้...คุณจะเก็บเงินสดไว้กับตัวทำไมกัน”
บทความดังกล่าว เป็นบทสัมภาษณ์ผู้จัดการกองทุนของ บลจ. แห่งหนึ่ง โดยเนื้อหากล่าวเอาไว้ว่า "ในช่วงที่ปัญหาเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน อยากแนะนำให้นักลงทุนอย่าถือเงินสดเก็บไว้กับตัว เพราะไม่ได้เพิ่มประโยชน์อะไรให้กับเงินเลย ขณะเดียวกันหากมีเงินสดถือเอาไว้เยอะ ผู้ลงทุนจะไม่รู้เลยว่าเงินเสื่อมค่าแล้วเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น”
“เงินเสื่อมค่าเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเหรอ” ต้นกล้าตั้งคำถามให้กับตัวเอง...เขาอ่านต่อไป “ดังนั้น วิธีที่จะทำให้เงินของเราฉลาดขึ้น คือการกระจายการลงทุน และมองหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ นอกเหนือจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญ ต้องลดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นออกไป เช่น ค่าใช้จ่ายเรื่องของภาษี ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ แล้วก็นำส่วนที่ได้รับการลดหย่อนภาษีนั้น ไปซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตเพื่อลดภาษีเพิ่มอีกต่อ”
“โห...เป็นการลงทุนที่คิดรอบด้านเลยนะเนี้ยะ” ต้นกล้าได้ความเข้าใจใหม่อีกแล้ว
ในบทความนั้น เขียนเอาไว้อีกว่า “สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของการเมือง เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนต้องมองหาการลงทุนที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเงินได้ แทนที่จะอยู่นิ่งหรือถือเงินสดไว้เฉยๆ แต่ให้เงินของเราทำงานดีกว่า โดยต้องดูการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ขณะเดียวกัน ต้องดูว่าวิธีการบริหารแบบนี้ เหมาะกับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนอย่างนี้หรือไม่ นอกจากนี้ ต้องกระจายการลงทุนให้มีความสมดุล เพื่อให้เงินของเราทำงานไปพร้อมกันด้วย”
“ต้องกระจายการลงทุนให้มีความสมดุล เพื่อให้เงินของเราทำงานไปพร้อมกันด้วย…คำนี้ น่าสนใจมาก” ต้นกล้าพูดกับตัวเอง “แล้วทุกอย่างที่เขาเขียนมาทั้งหมด กองทุนรวม ถือว่าตอบโจทย์ได้ครบเลยนะเนี้ยะ…แบบนี้ เราต้องทำความเข้าใจใหม่ให้กับลูกค้าบ้างแล้ว ถึงแม้สถานการณ์ในช่วงนี้ จะยากต่อการสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจ แต่อย่างน้อย ก็ทำให้เขารู้ว่า การถือเงินสดกับการฝากเงิน ไม่ได้ทำให้เงินของเขางอกเงยไปไหนเลย...”
ต้นกล้าอ่านต่อ “แล้วยิ่งเงินเฟ้อในชีวิตประจำวันของเรา ยังปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าตัวเลขเงินเฟ้อมาตรฐานที่ภาครัฐเฉลี่ยออกมา” เอ...หมายความว่าไงนะ ต้นกล้าข้ามไปอ่านส่วนที่น่าจะเกี่ยวข้อง
“ยกตัวอย่างเช่น ราคาอาหารที่ปรับขึ้น จาก 30 บาท เป็น 35 บาท คิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นถึง 16% กว่าๆ...แล้วถ้าลองรวมราคาสินค้าอื่นๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอีกไม่รู้กี่อย่างต่อกี่อย่างที่ปรับเพิ่มขึ้น คำนวณออกมาแล้ว เงินเฟ้อจริงๆ ของเราเพิ่มขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วก็ไม่รู้” อ่านมาถึงตรงนี้ ต้นกล้าเริ่มเข้าใจมากขึ้น
“อืมห์...อย่างนี้นี่เอง ที่เขาบอกว่า เงินของเราจะเสื่อมค่า หากถือเงินเอาไว้เฉยๆ แม้แต่ฝากแบงก์เองก็ตามเหอะ…เราเองก็ต้องจัดสรรเงินลงทุนของเราใหม่ซะแล้ว” ต้นกล้าวางหนังสือพิมพ์ลง เงยหน้าขึ้น ยกมือขวาขึ้นมา แล้วพูดออกมาว่า “เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ”
จังหวะนั้น เจ้านายเดินผ่านหน้าห้องต้นกล้าพอดี “ว่าไงนะต้นกล้า”
“อ๋อ...เปล่าครับเจ้านาย” หลังจากเจ้านายเดินผ่านไปแล้ว...ต้นกล้าก็รู้สึกขำตัวเองที่ทำท่าทางออกมาแบบนั้น
...อ่านต่อฉบับวันจันทร์หน้า