บลจ.บุกตลาดหุ้นอเมริกาหวังช้อนหุ้นถูกโกยผลตอบแทนกลับประเทศ ชี้หลายบริษัทมีอัตราการเติบโตสูง แต่ราคาหุ้นเจอพิษซับไพรม์กดรูด มองเป็นโอกาสที่น่าลงทุน แต่อย่างน้อยต้องถือยาว 1 ปีขึ้นไปถึงหายห่วง เตือนความเสี่ยงยังมีจากปัจจัยเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ที่อาจเข้ามาสร้างผันผวนในระยะสั้น "วรรณ"เน้นกองใหม่ซื้อหุ้นเติบโต-ราคาต่ำ หากยิลด์ทะลุเป้า20% พร้อมยุบทันที ส่วนTDEX เนื้อหอมสัดส่วนต่างชาติขยายตัวแตะ 12%
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้นำเสนอแนวคิดในการลงทุนแบบที่คิดต่างเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเสนอขาย กองทุนเปิดวรรณ ยูเอส รีคอฟเวอรี่ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ (1US-OPP) ระหว่างวันที่ 26 พ.ค.-11 มิ.ย. 51 นี้ ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะเข้าไปหาประโยชน์จากเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ เช่นเดียวกับที่นักลงทุนต่างชาติเคยเข้ามาลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากเศรษฐกิจไทยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 1997
โดยกองทุน 1US-OPP จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง(Growth Stock) ทั้งในภาคการเงินและภาคการผลิตที่แท้จริง ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจคือในปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐมีระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ลดลงมาเหลือประมาณ 15 เท่า ในขณะที่ก่อนวิกฤติซับไพร์มมีระดับ P/E สูงถึง 18-20 เท่า รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐยังมีน้ำหนักการลงทุนต่ำกว่าตลาด (อันเดอร์เพอร์ฟอร์ม) โดยเฉพาะตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของภาคการผลิตที่แท้จริงของสหรัฐเองไม่ได้ออกมาแย่เท่าไรนัก
ทั้งนี้ นายสมจินต์ กล่าวต่อว่า ผลประกอบการที่เป็นลบของบริษัทในภาคสถาบันการเงินทำให้ภาพการเติบโตของกำไรโดยรวมของตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงมา ซึ่งราคาของหุ้นในภาคการผลิตที่แท้จริง
นั้นไม่ได้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทเหล่านี้ โดยจะเห็นได้จาก P/E ของหุ้นที่มีการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับ P/E ของหุ้นมูลค่าใกล้เคียงกันมากประมาณ 1 เท่า จากปกติ P/E ของหุ้นที่มีการเติบโตสูงจะมี P/E ที่สูงกว่า P/E ของหุ้นมูลค่าประมาณ 1.5-2.0 เท่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเหล่านี้ซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุน
นอกจากนี้ การเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯของกองทุน 1US-OPP ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะหากเข้าไปลงทุนหลังจากนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ช้าเกินไป เพราะหลังจากที่มีการเลือกตั้งในประเทศเรียบร้อยแล้วมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯจะขึ้นภาษีหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนออกมาซื้อบ้านหลังจากที่ชะลอการตัดสินใจมาในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในช่วงขาลง เพราะปัจจุบันทางธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณออกมาแล้วว่ามีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ "เรามั่นใจว่ากองทุน 1US-OPP มีโอกาสสูงมากที่จะทำผลตอบแทนถึงเป้าหมายที่ 20% ได้ก่อน 2 ปี " นายสมจินต์กล่าว
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถซื้อเพิ่มได้ทุกวันหลังจากช่วงไอพีโอแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้ซื้อได้อีกครั้งประมาณ 16 มิ.ย.51 นี้
กรรมการผู้จัดการ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของ "กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ(TDEX)" นั้นได้รับการตอบรับจากนักลงทุนรายย่อย รวมถึงนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างดี โดยขนาดของกองทุนสามารถที่จะยืนอยู่เหนือระดับ 3,500 ล้านบาทได้อย่างมั่นคง ซึ่งเชื่อว่าการที่ขนาดกองทุนสามารถทะลุผ่านระดับ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาได้ ทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจและสนใจเข้ามาลงทุนในกองทุน TDEX มากขึ้น โดยเฉพาะสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติมีการเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญจากในช่วงไอพีโอมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 12% เพราะเชื่อมั่นว่ากองทุน TDEX จะสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน โดยผู้ลงทุนที่สนใจสามารถซื้อเพิ่มได้ทุกวันหลังจากช่วงไอพีโอแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้ซื้อได้อีกครั้งประมาณ 16 มิ.ย.51 นี้
ก่อนหน้านี้ นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่าระดับราคาหุ้นสหรัฐในปัจจุบันถือว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะเชื่อว่าหากมีข่าวร้ายในภาคการเงินจากปัญหาซับไพรม์ออกมาอีก ก็จะไม่รุนแรงเท่ากับในช่วงแรก
นายวนา พูลผล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุมัติจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในกองทุนในต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้เพราะหลายคนมองว่า ตอนนี้ราคาหุ้นในต่างประเทศปรับตัวลงมามากแล้ว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งหากเลือดลงทุนดีๆ ก็น่าจะเป็นโอกาสได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในระดับที่ดี
ด้าน นายธีระ ภู่ตระกูล ประธานบริหาร บลจ.ฟินันซ่า กล่าวว่า บริษัทมีกองทุนเปิดหน่วยลงทุนฟินันซ่า โกลบอล อโลเคชั่น ที่มีน้ำหนักการลงทุนหุ้นในสหรัฐ 40% มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะที่น่าลงทุน โดย
เฉพาะหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินที่ข่าวร้ายน่าจะออกมาเกือบหมดแล้ว แต่ควรจะเป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐยังมีปัจจัยที่น่าเป็นกังวลหลายอย่าง เช่น ปัญหาเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจจะแกว่งตัวและปรับตัวลดลงได้อีก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าตอนนี้แม้วิกฤตซับไพร์มในประเทศสหรัฐจะซาลงไป เพราะผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวยังคงมีอยู่ รวมถึงเรื่องของราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกายังคงส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวเช่นเดิม
ส่วนปัญหาในวงการอสังหาฯนั้น ตอนนี้บ้านที่สร้างเสร็จแต่ยังไม่ได้ขายยังคงมีอยู่จำนวนมาก และปัญหาการว่างงานก็ไม่ได้ลดลงไปทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่มากพอที่จะผ่อนส่งบ้าน จึงส่งผลให้ตัวเลขการคืนบ้านยังมีอยู่ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนอยู่ในระดับสูง แม้ว่าตลาดหุ้นจะไม่ทรุดตัวลงไปมากแต่ก็ไม่สามารถที่จะปรับตัวสูงขึ้นมามากเช่นกัน
"ผู้ลงทุนที่สนใจจะลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนี้ว่า ควรลงทุนเพื่อหวังผลในระยะยาว และไม่ควรที่จะลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นเพราะยังมีความผันผวนอยู่มาก โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทยอยการลงทุนคือช่วงปลายปีนี้จนถึงช่วงปีหน้า"ธนวรรธน์ ให้คำแนะนำทิ้งท้าย
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้นำเสนอแนวคิดในการลงทุนแบบที่คิดต่างเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเสนอขาย กองทุนเปิดวรรณ ยูเอส รีคอฟเวอรี่ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ (1US-OPP) ระหว่างวันที่ 26 พ.ค.-11 มิ.ย. 51 นี้ ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะเข้าไปหาประโยชน์จากเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ เช่นเดียวกับที่นักลงทุนต่างชาติเคยเข้ามาลงทุนเพื่อหาประโยชน์จากเศรษฐกิจไทยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 1997
โดยกองทุน 1US-OPP จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง(Growth Stock) ทั้งในภาคการเงินและภาคการผลิตที่แท้จริง ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจคือในปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐมีระดับราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ลดลงมาเหลือประมาณ 15 เท่า ในขณะที่ก่อนวิกฤติซับไพร์มมีระดับ P/E สูงถึง 18-20 เท่า รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐยังมีน้ำหนักการลงทุนต่ำกว่าตลาด (อันเดอร์เพอร์ฟอร์ม) โดยเฉพาะตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ทั้งที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของภาคการผลิตที่แท้จริงของสหรัฐเองไม่ได้ออกมาแย่เท่าไรนัก
ทั้งนี้ นายสมจินต์ กล่าวต่อว่า ผลประกอบการที่เป็นลบของบริษัทในภาคสถาบันการเงินทำให้ภาพการเติบโตของกำไรโดยรวมของตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงมา ซึ่งราคาของหุ้นในภาคการผลิตที่แท้จริง
นั้นไม่ได้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทเหล่านี้ โดยจะเห็นได้จาก P/E ของหุ้นที่มีการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับ P/E ของหุ้นมูลค่าใกล้เคียงกันมากประมาณ 1 เท่า จากปกติ P/E ของหุ้นที่มีการเติบโตสูงจะมี P/E ที่สูงกว่า P/E ของหุ้นมูลค่าประมาณ 1.5-2.0 เท่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเหล่านี้ซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุน
นอกจากนี้ การเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯของกองทุน 1US-OPP ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะหากเข้าไปลงทุนหลังจากนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ช้าเกินไป เพราะหลังจากที่มีการเลือกตั้งในประเทศเรียบร้อยแล้วมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯจะขึ้นภาษีหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนออกมาซื้อบ้านหลังจากที่ชะลอการตัดสินใจมาในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในช่วงขาลง เพราะปัจจุบันทางธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณออกมาแล้วว่ามีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ "เรามั่นใจว่ากองทุน 1US-OPP มีโอกาสสูงมากที่จะทำผลตอบแทนถึงเป้าหมายที่ 20% ได้ก่อน 2 ปี " นายสมจินต์กล่าว
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถซื้อเพิ่มได้ทุกวันหลังจากช่วงไอพีโอแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้ซื้อได้อีกครั้งประมาณ 16 มิ.ย.51 นี้
กรรมการผู้จัดการ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของ "กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ(TDEX)" นั้นได้รับการตอบรับจากนักลงทุนรายย่อย รวมถึงนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างดี โดยขนาดของกองทุนสามารถที่จะยืนอยู่เหนือระดับ 3,500 ล้านบาทได้อย่างมั่นคง ซึ่งเชื่อว่าการที่ขนาดกองทุนสามารถทะลุผ่านระดับ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาได้ ทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจและสนใจเข้ามาลงทุนในกองทุน TDEX มากขึ้น โดยเฉพาะสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติมีการเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญจากในช่วงไอพีโอมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 12% เพราะเชื่อมั่นว่ากองทุน TDEX จะสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน โดยผู้ลงทุนที่สนใจสามารถซื้อเพิ่มได้ทุกวันหลังจากช่วงไอพีโอแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้ซื้อได้อีกครั้งประมาณ 16 มิ.ย.51 นี้
ก่อนหน้านี้ นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่าระดับราคาหุ้นสหรัฐในปัจจุบันถือว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะเชื่อว่าหากมีข่าวร้ายในภาคการเงินจากปัญหาซับไพรม์ออกมาอีก ก็จะไม่รุนแรงเท่ากับในช่วงแรก
นายวนา พูลผล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุมัติจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในกองทุนในต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ทั้งนี้เพราะหลายคนมองว่า ตอนนี้ราคาหุ้นในต่างประเทศปรับตัวลงมามากแล้ว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งหากเลือดลงทุนดีๆ ก็น่าจะเป็นโอกาสได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในระดับที่ดี
ด้าน นายธีระ ภู่ตระกูล ประธานบริหาร บลจ.ฟินันซ่า กล่าวว่า บริษัทมีกองทุนเปิดหน่วยลงทุนฟินันซ่า โกลบอล อโลเคชั่น ที่มีน้ำหนักการลงทุนหุ้นในสหรัฐ 40% มองว่าช่วงนี้เป็นจังหวะที่น่าลงทุน โดย
เฉพาะหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินที่ข่าวร้ายน่าจะออกมาเกือบหมดแล้ว แต่ควรจะเป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐยังมีปัจจัยที่น่าเป็นกังวลหลายอย่าง เช่น ปัญหาเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจจะแกว่งตัวและปรับตัวลดลงได้อีก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าตอนนี้แม้วิกฤตซับไพร์มในประเทศสหรัฐจะซาลงไป เพราะผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวยังคงมีอยู่ รวมถึงเรื่องของราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกายังคงส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวเช่นเดิม
ส่วนปัญหาในวงการอสังหาฯนั้น ตอนนี้บ้านที่สร้างเสร็จแต่ยังไม่ได้ขายยังคงมีอยู่จำนวนมาก และปัญหาการว่างงานก็ไม่ได้ลดลงไปทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่มากพอที่จะผ่อนส่งบ้าน จึงส่งผลให้ตัวเลขการคืนบ้านยังมีอยู่ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนอยู่ในระดับสูง แม้ว่าตลาดหุ้นจะไม่ทรุดตัวลงไปมากแต่ก็ไม่สามารถที่จะปรับตัวสูงขึ้นมามากเช่นกัน
"ผู้ลงทุนที่สนใจจะลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนี้ว่า ควรลงทุนเพื่อหวังผลในระยะยาว และไม่ควรที่จะลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นเพราะยังมีความผันผวนอยู่มาก โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทยอยการลงทุนคือช่วงปลายปีนี้จนถึงช่วงปีหน้า"ธนวรรธน์ ให้คำแนะนำทิ้งท้าย