บลจ.กรุงไทยชี้กองบอนด์เกาหลียังน่าลงทุน เหตุอัตราดอกเบี้ยไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เตรียมส่งกองทุนพันธบัตรเกาหลีล่อใจนักลงทุนอีกครั้ง ชูผลตอบแทน 3.8% ต่อปีก่อนหักค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันจับลูกค้าชอบลงทุนในประเทศส่ง KT3M37 เน้นลงทุนตราสารภาครัฐเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุน เตรียมขายพร้อมกัน 2 กอง วันนี้- 2 มิถุนายน 2551
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ในปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมีความผันผวนมาก ส่งผลให้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงของสกุลวอนเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ แกว่งตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงของสกุลบาทเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาชดเชยบ้าง แต่เมื่อพิจารณาผลตอบแทนสุทธิเมื่อแปลงเป็นสกุลบาทมีแนวโน้มปรับลดลงและผันผวน โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนของตราสารที่ลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3.8% ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่คณะกรรมการนโยบายการยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.25% ทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารภาครัฐของเกาหลีใต้ ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารภาครัฐของไทย จึงทำให้การลงทุนในเกาหลีใต้ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในตราสารต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศและต้องการโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของไทยที่มีอายุใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุน บริษัทจึงเตรียมที่จะทำการเปิดจำหน่ายกองทุนประเภทตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในและ ต่างประเทศให้กับลูกค้าได้เลือกตามความเหมาะสม โดยบริษัทจะเปิดจำหน่าย หน่วยลงทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 37 ( KT3M37) และ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารต่างประเทศ6เดือน8 ( KTFIF6M8) ในระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2551
สำหรับกองทุน KTFIF6M8 จะมีมูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท อายุ 6เดือน โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น พันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนจะทำการป้องกัน ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
ขณะที่ กองทุน KT3M37 ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุ 3 เดือน และเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มุ่งจะให้เกิดความคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือ บัตรเงินฝากที่บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบัตรเงินฝาก ที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก หรือทรัพย์สินอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีความเสี่ยงเทียบเคียงได้กับตราสารภาครัฐไทย ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.
สำหรับกองทุนนี้จะลงทุนในตราสารข้างต้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 98ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ และต้องการลงทุนในกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น พร้อมทั้งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ โดยมีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนของตราสารที่ลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3.1% ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน โดยปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.00% ต่อปี และต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ในปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมีความผันผวนมาก ส่งผลให้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงของสกุลวอนเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ แกว่งตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงของสกุลบาทเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาชดเชยบ้าง แต่เมื่อพิจารณาผลตอบแทนสุทธิเมื่อแปลงเป็นสกุลบาทมีแนวโน้มปรับลดลงและผันผวน โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนของตราสารที่ลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3.8% ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่คณะกรรมการนโยบายการยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.25% ทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารภาครัฐของเกาหลีใต้ ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารภาครัฐของไทย จึงทำให้การลงทุนในเกาหลีใต้ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในตราสารต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศและต้องการโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของไทยที่มีอายุใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุน บริษัทจึงเตรียมที่จะทำการเปิดจำหน่ายกองทุนประเภทตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในและ ต่างประเทศให้กับลูกค้าได้เลือกตามความเหมาะสม โดยบริษัทจะเปิดจำหน่าย หน่วยลงทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 37 ( KT3M37) และ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารต่างประเทศ6เดือน8 ( KTFIF6M8) ในระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2551
สำหรับกองทุน KTFIF6M8 จะมีมูลค่าโครงการ 3,100 ล้านบาท อายุ 6เดือน โดยเป็นกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น พันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนจะทำการป้องกัน ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
ขณะที่ กองทุน KT3M37 ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุ 3 เดือน และเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารที่มุ่งจะให้เกิดความคุ้มครองเงินต้น ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือ บัตรเงินฝากที่บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ หรือบัตรเงินฝาก ที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก หรือทรัพย์สินอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีความเสี่ยงเทียบเคียงได้กับตราสารภาครัฐไทย ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.
สำหรับกองทุนนี้จะลงทุนในตราสารข้างต้นเพื่อเป็นทรัพย์สินของกองทุนรวมมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 98ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ และต้องการลงทุนในกองทุนที่คุ้มครองเงินต้น พร้อมทั้งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ โดยมีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนของตราสารที่ลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3.1% ต่อปี ซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน โดยปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารประจำ3 เดือนอยู่ที่ 2.00% ต่อปี และต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 15%