ซีน่าเน็ต - รองรัฐมนตรีพาณิชย์จีนเผย 3 เดือนแรกจีนมีตัวเลขลงทุนในต่างประเทศมากกว่าปี 2007 ทั้งปี พุ่งขึ้นถึง 353% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน พร้อมระบุการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น จะช่วยเพิ่มศักยภาพของวิสาหกิจและช่วยให้เงินไหลเข้าออกสมดุลมากขึ้น
นายเฉิน เจี้ยน รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยในงานสัมมนาแห่งหนึ่งโดยระบุว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา จีนมียอดการไปลงทุนตรงจากต่างประเทศ ทั้งสิ้น 19,340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 353% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมากกว่าตัวเลขการไปลงทุนในต่างประเทศปี 2007 ทั้งปี
โดยในช่วงปี 2002-2007 จีนมียอดการไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านเหรียญ เพิ่มเป็น 18,760 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือเพิ่มขึ้นมา 7 เท่า และเลื่อนอันดับจากที่ 26 ของโลกมาเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นอันดับหนึ่งของประเทศกำลังพัฒนา
นักวิเคราะห์มองว่า การที่ในไตรมาสแรกจีนมีตัวเลขการไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากนั้น มากจากเป็นช่วงที่มีดีลใหญ่ๆเกิดขึ้น รวมไปถึงการที่ธนาคารอุตสาหกรรมและพาณิชย์จีนที่ได้ไปซื้อหุ้น 20% ของสแตนดาร์ด แบงก์ กรุ๊ปในแอฟริกาใต้ กับบริษัท อลูมินัม คอร์ปอเรนชั่น ออฟ ไชน่า หรือไชนาลโคเพิ่งประกาศจับมือกับบริษัท อัลโค อิงค์ เพื่อเข้าซื้อหุ้น 12% ของยักษ์เหมืองแร่อย่างริโอ ตินโต
เฉิน เจี้ยนเปิดเผยว่านับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ใช้นโยบาย "ก้าวออกไป" ทว่าในการเปิดประเทศช่วงต้นนั้นจะเป็นการ "นำเข้ามา" เป็นหลัก ทว่าในช่วงที่ผ่านมาที่ทางการได้ผลักดันควบคู่ทั้งการ "นำเข้ามา" และ "ก้าวออกไป" ทำให้การลงทุนในต่างประเทศนั้นเพิ่มากขึ้นเป็นลำดับ
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า การที่มีเงินไหลบ่าเข้ามาเป็นจำนวนมาก นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ซัดเข้าใส่การควบคุมเศรษฐกิจในระดับมหภาคของจีน การที่เงินลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ในด้านการยกระดับศักยภาพของวิสาหกิจ ยังเป็นการช่วยให้การไหลเข้าออกของเงินของประเทศเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2002-2007 จีนมีตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 52,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯมาเป็น 74,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงสุดในประเทศกำลังพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเวลา 15 ปี
นายเฉิน เจี้ยน รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยในงานสัมมนาแห่งหนึ่งโดยระบุว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา จีนมียอดการไปลงทุนตรงจากต่างประเทศ ทั้งสิ้น 19,340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 353% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมากกว่าตัวเลขการไปลงทุนในต่างประเทศปี 2007 ทั้งปี
โดยในช่วงปี 2002-2007 จีนมียอดการไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านเหรียญ เพิ่มเป็น 18,760 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือเพิ่มขึ้นมา 7 เท่า และเลื่อนอันดับจากที่ 26 ของโลกมาเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นอันดับหนึ่งของประเทศกำลังพัฒนา
นักวิเคราะห์มองว่า การที่ในไตรมาสแรกจีนมีตัวเลขการไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากนั้น มากจากเป็นช่วงที่มีดีลใหญ่ๆเกิดขึ้น รวมไปถึงการที่ธนาคารอุตสาหกรรมและพาณิชย์จีนที่ได้ไปซื้อหุ้น 20% ของสแตนดาร์ด แบงก์ กรุ๊ปในแอฟริกาใต้ กับบริษัท อลูมินัม คอร์ปอเรนชั่น ออฟ ไชน่า หรือไชนาลโคเพิ่งประกาศจับมือกับบริษัท อัลโค อิงค์ เพื่อเข้าซื้อหุ้น 12% ของยักษ์เหมืองแร่อย่างริโอ ตินโต
เฉิน เจี้ยนเปิดเผยว่านับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ใช้นโยบาย "ก้าวออกไป" ทว่าในการเปิดประเทศช่วงต้นนั้นจะเป็นการ "นำเข้ามา" เป็นหลัก ทว่าในช่วงที่ผ่านมาที่ทางการได้ผลักดันควบคู่ทั้งการ "นำเข้ามา" และ "ก้าวออกไป" ทำให้การลงทุนในต่างประเทศนั้นเพิ่มากขึ้นเป็นลำดับ
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า การที่มีเงินไหลบ่าเข้ามาเป็นจำนวนมาก นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ซัดเข้าใส่การควบคุมเศรษฐกิจในระดับมหภาคของจีน การที่เงินลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ในด้านการยกระดับศักยภาพของวิสาหกิจ ยังเป็นการช่วยให้การไหลเข้าออกของเงินของประเทศเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2002-2007 จีนมีตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 52,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯมาเป็น 74,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงสุดในประเทศกำลังพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเวลา 15 ปี
