แมนูไลฟ์ครวญช่องทางการขายน้อย กดยอดกองแอลทีเอฟระดมทุนได้แค่ 17 ล้านบาท ขอเวลา 3 เดือน เดินหน้าจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายอีกกลางปีนี้ หวังกวาดเงินเข้าพอร์ตตามเดตไลน์ 2 ปี 50 ล้านบาทให้ทันสิ้นปี ระบุผลการดำเนินงานดีจะช่วยให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกองทุนนี้มากขึ้น ขณะที่ความร่วมมือกับบริษัทประกันในเครือขายหน่วยลงทุนควบประกันชีวิตไม่คืบ เหตุตัวแทนติดปัญหาไลเซนซ์ของก.ล.ต.
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การระดมทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(MS-CORE LTF)ของบริษัทที่ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2007 นั้น ขณะนี้ยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของกองทุนยังไม่ถึงเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กำหนดไว้คือ 50 ล้านบาทภายใน 2 ปี และจะครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวภายในปีนี้(นับตามปีปฏิทินตั้งแต่จัดตั้งกองทุน) โดย
สำหรับยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของกองทุนนี้ ณ วันที่ 29 เมษายน 2551 จะอยู่ที่ประมาณ 17.412 ล้านบาท และหากครบกำหนดแล้วยังไม่สามารถทำได้ตามเกณฑ์ดังกล่าวคงจำเป็นที่จะต้องยุบกองทุนนี้ลงตามที่มีข้อกำหนดระบุไว้
อย่างไรก็ตาม หากดูตามผลการดำเนินงานที่ผ่านมาแล้วเชื่อว่านักลงทุนคงจะให้ความสนใจหันมาลงทุนในกองทุนนี้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ทางบริษัทยังเตรียมจัดโปรโมชัน พร้อมนำกองทุนนี้ออกมาขายอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้ เพื่อกระตุ้นยอดการลงทุนอีกด้วย
“เกณฑ์ 50 ล้านของก.ล.ต.ถ้าทำได้ก็ได้ แต่อยากจะขอเวลาให้รอดูก่อนสัก 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งหากลูกค้ามองเรื่องเพอร์ฟอร์แมนแล้วน่าจะสนใจกองทุนของเราเพิ่มขึ้น แล้วเราก็จะมีการอัดโปรชันพร้อมทั้งรีรอนซ์กองทุนนี้ขายใหม่ในช่วงกลางปี”นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวอีกว่า ปัญหาของการขายหน่วยลงทุนของบริษัทส่วนหนึ่งมาจากการที่แมนนูไลฟ์ยังเป็นบลจ.ใหม่ที่ตั้งขึ้นได้ไม่นานทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก และคุ้นเคยกับบริษัทมากนัก รวมถึงการที่บริษัทยังมีช่องทางการขายอยู่น้อยเมื่อเทียบกับบลจ.ขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทมีเซลลิงค์เอเจนท์อยู่เพียง 9 แห่ง เท่านั้น
สำหรับปีนี้บริษัทได้เตรียมที่จะเพิ่มช่องทางการขาย และงบโฆษณาให้มากขึ้น โดยในส่วของเซลลิงก์เอเจนท์ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2 แห่ง นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้เตรียมจ้างพนักงานเพิ่มในการขายหน่วยลงทุนโดยตรงให้กับลูกค้าอีกด้วย
“เรายังเป็นบลจ.ใหม่ทำให้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่ก็ได้เตรียมเพิ่มงบโฆษณาในส่วนนี้แล้ว ส่วนเซลลิงก์เอจนท์เราอยู่ระหว่างเจราเพิ่มอีก 2 แห่งที่จะเอาสินค้าเราไปขายให้ ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่าในอีก 3-5 ปี เราน่าจะดีขึ้นกว่านี้เมื่อมีคนรู้จักเรามากขึ้น”นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวอีกว่า การขยายฐานลูกค้าจากการเพิ่มความร่วมมือกับ บริษัทแมนูไลฟ์ประกันชีวิตด้วยการขายกองทุนควบคู่ไปกับประกันชีวิตคงต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะกว่านี้ก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก อีกทั้งการเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนยังจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎของก.ล.ต.ก่อน
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากทำได้ช่องทางการขายผ่านประกันชีวิตจะมีส่วนช่วยให้บริษัทมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และช่องทางนี้จะสามารถทำให้การดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้มากกว่าช่องทางอื่นแน่นอน
“การจับมือกับประกันนั้นตอนนี้ยังไม่คืบหน้ามากนักคงจะต้องรอดูทางประกันก่อนว่าพร้อมเมื่อไร แต่ยังเชื่อว่าจะเป็นการดี และควรที่จะขายสินค้าทั้ง 2 อย่างนี้ไปพร้อมกัน และเชื่อว่าช่องทางนี้จะตีช่องทางอื่นได้ดีที่สุดด้วย”นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวอีกว่า ความร่วมมือกับประกันนั้นจริงๆ แล้ว บริษัทแมนูไลฟ์ในภูมิเอเชียทั้งในประเทศฮ่องกง และอินเดีย ได้มีความร่วมมือในการขายสินค้าร่วมกันมานานแล้ว โดยยอดการขายหน่วยลงทุนในฮ่องกงส่วนใหญ่จะมาจากตัวแทนประกันชีวิต ซึ่งช่องทางการขายนี้น่าจะทำได้เช่นกันในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ได้รับสัญญาณจากทางแมนูไลฟ์ประกันชีวิตว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยต่อจากนี้คงต้องรอนโยบายออกมาก่อน แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าส่วนที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของใบอนุญาตในการขายหน่วยลงทุนที่กล่าวข้างต้น
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การระดมทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(MS-CORE LTF)ของบริษัทที่ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2007 นั้น ขณะนี้ยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของกองทุนยังไม่ถึงเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กำหนดไว้คือ 50 ล้านบาทภายใน 2 ปี และจะครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวภายในปีนี้(นับตามปีปฏิทินตั้งแต่จัดตั้งกองทุน) โดย
สำหรับยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของกองทุนนี้ ณ วันที่ 29 เมษายน 2551 จะอยู่ที่ประมาณ 17.412 ล้านบาท และหากครบกำหนดแล้วยังไม่สามารถทำได้ตามเกณฑ์ดังกล่าวคงจำเป็นที่จะต้องยุบกองทุนนี้ลงตามที่มีข้อกำหนดระบุไว้
อย่างไรก็ตาม หากดูตามผลการดำเนินงานที่ผ่านมาแล้วเชื่อว่านักลงทุนคงจะให้ความสนใจหันมาลงทุนในกองทุนนี้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ทางบริษัทยังเตรียมจัดโปรโมชัน พร้อมนำกองทุนนี้ออกมาขายอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้ เพื่อกระตุ้นยอดการลงทุนอีกด้วย
“เกณฑ์ 50 ล้านของก.ล.ต.ถ้าทำได้ก็ได้ แต่อยากจะขอเวลาให้รอดูก่อนสัก 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งหากลูกค้ามองเรื่องเพอร์ฟอร์แมนแล้วน่าจะสนใจกองทุนของเราเพิ่มขึ้น แล้วเราก็จะมีการอัดโปรชันพร้อมทั้งรีรอนซ์กองทุนนี้ขายใหม่ในช่วงกลางปี”นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวอีกว่า ปัญหาของการขายหน่วยลงทุนของบริษัทส่วนหนึ่งมาจากการที่แมนนูไลฟ์ยังเป็นบลจ.ใหม่ที่ตั้งขึ้นได้ไม่นานทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก และคุ้นเคยกับบริษัทมากนัก รวมถึงการที่บริษัทยังมีช่องทางการขายอยู่น้อยเมื่อเทียบกับบลจ.ขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทมีเซลลิงค์เอเจนท์อยู่เพียง 9 แห่ง เท่านั้น
สำหรับปีนี้บริษัทได้เตรียมที่จะเพิ่มช่องทางการขาย และงบโฆษณาให้มากขึ้น โดยในส่วของเซลลิงก์เอเจนท์ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2 แห่ง นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้เตรียมจ้างพนักงานเพิ่มในการขายหน่วยลงทุนโดยตรงให้กับลูกค้าอีกด้วย
“เรายังเป็นบลจ.ใหม่ทำให้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่ก็ได้เตรียมเพิ่มงบโฆษณาในส่วนนี้แล้ว ส่วนเซลลิงก์เอจนท์เราอยู่ระหว่างเจราเพิ่มอีก 2 แห่งที่จะเอาสินค้าเราไปขายให้ ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่าในอีก 3-5 ปี เราน่าจะดีขึ้นกว่านี้เมื่อมีคนรู้จักเรามากขึ้น”นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวอีกว่า การขยายฐานลูกค้าจากการเพิ่มความร่วมมือกับ บริษัทแมนูไลฟ์ประกันชีวิตด้วยการขายกองทุนควบคู่ไปกับประกันชีวิตคงต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะกว่านี้ก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก อีกทั้งการเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนยังจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎของก.ล.ต.ก่อน
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากทำได้ช่องทางการขายผ่านประกันชีวิตจะมีส่วนช่วยให้บริษัทมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และช่องทางนี้จะสามารถทำให้การดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้มากกว่าช่องทางอื่นแน่นอน
“การจับมือกับประกันนั้นตอนนี้ยังไม่คืบหน้ามากนักคงจะต้องรอดูทางประกันก่อนว่าพร้อมเมื่อไร แต่ยังเชื่อว่าจะเป็นการดี และควรที่จะขายสินค้าทั้ง 2 อย่างนี้ไปพร้อมกัน และเชื่อว่าช่องทางนี้จะตีช่องทางอื่นได้ดีที่สุดด้วย”นายอลันกล่าว
นายอลัน กล่าวอีกว่า ความร่วมมือกับประกันนั้นจริงๆ แล้ว บริษัทแมนูไลฟ์ในภูมิเอเชียทั้งในประเทศฮ่องกง และอินเดีย ได้มีความร่วมมือในการขายสินค้าร่วมกันมานานแล้ว โดยยอดการขายหน่วยลงทุนในฮ่องกงส่วนใหญ่จะมาจากตัวแทนประกันชีวิต ซึ่งช่องทางการขายนี้น่าจะทำได้เช่นกันในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ได้รับสัญญาณจากทางแมนูไลฟ์ประกันชีวิตว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยต่อจากนี้คงต้องรอนโยบายออกมาก่อน แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าส่วนที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของใบอนุญาตในการขายหน่วยลงทุนที่กล่าวข้างต้น