ออมรายเดือนซื้อกองทุน ทางเลือกน่าสนใจของมนุษย์เงินเดือน

การออมเงินนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะการเก็บเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามป่วยไข้ คราวฉุกเฉิน หรือแม้กระทั่งยามแก่ชรา และพอเพียงสำหรับการดำรงชีวิต หากเราได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนในวัยที่เรายังมีเรี่ยวแรง หรือในช่วงที่ยังมีความสามารถในการทำงานหาเงินได้ ก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท นอกจากนี้ ยังเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศอีกด้วย

จากภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในปัจจุบัน การเลือกลงทุนอะไรก็ตามล้วนแต่จะต้องมีการทบทวนอย่างรอบคอบ การทยอยลงทุนในกองทุนรวมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะว่านอกจากจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนแบบครั้งเดียวในช่วงปลายปีแล้ว ต้นทุนโดยเฉลี่ยที่เราซื้อหน่วยลงทุนก็จะน้อยกว่า หรือที่เรียกกันว่า Dollar Cost Averaging (DCA) นั่นเอง

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายรายจึงได้คิดค้นรูปแบบการลงทุนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการออมเงินกับธนาคารพาณิชย์ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรือแม้กระทั่งแบบ 12 เดือน เพียงแต่การออมเงินในรูปแบบใหม่จะนำเงินเพื่อมาซื้อกองทุนรวมเท่านั้นเอง โดยอาศัยข้อดีที่นักลงทุนสามารถลงทุนในปริมาณเม็ดเงินที่เท่ากันอย่างต่อเนื่อง และลงทุนเป็นประจำทุกเดือน

สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เล่าให้ฟังว่า โครงการรวยอัติโนมัติ (Automatic Millionaire Program) เริ่มต้นจัดตั้งเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2549 สามารถเริ่มต้นการออมที่ 2,000 บาทขึ้นไป และไม่จำกัดกองทุน ซึ่งนับจากที่จัดตั้งมามีนักลงทุนเข้ามาลงทุน 500 ราย

สำหรับสิ่งสำคัญของการออมประเภทนี้คือการที่บริษัทสามารถเข้าถึงผู้ลงทุนได้ โดยธรรมชาติของผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลา ทำให้ไม่มีการออมเงินในรูปแบบที่แน่นอน บางคนอาจจะนำเงินไปใช้จ่ายก่อน ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาลงทุน นอกจากนี้ บางคนอาจจะไม่มีเวลาไปศึกษารูปแบบของการลงทุนประเภทต่างๆ ด้วย ซึ่งการที่หักเงินจำนวนหนึ่งก่อนนำไปใช้จ่ายแบบอัตโนมัติจึงเป็นทางเลือกที่ดี ทำให้มีการออมเงินอย่างแน่นอน และการออมเงินประมาณ 10-15% ของเงินเดือนอยู่ในวิสัยที่สามารถมนุษย์เงินเดือนอย่างเราสามารถทำได้

สำหรับข้อดีอยู่ที่ 1. ความต่อเนื่องของการลงทุน 2. ความได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ซึ่งการออมทุกเดือน จะทำให้มีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าการปล่อยไปตามยถากรรม 3. มีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ต้นทุนของการลงทุนถูกลง ถูกกว่าราคาเฉลี่ยของหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้น ซึ่งมีความไม่แน่นอน และมีความผันผวนตามธรรมชาติ ดังนั้น การที่เรานำเงินไปลงทุนในปริมาณที่เท่ากันทุกเดือน ในช่วงที่ราคาหุ้นแพง สามารถซื้อได้น้อยหน่วย แต่ในช่วงที่ราคาหุ้นถูก ก็สามารถซื้อได้มากหน่วยขึ้น หากเปรียบเทียบตามหลักคณิตศาสตร์แล้ว การที่ซื้อหน่วยลงทุนเป็นประจำทุกเดือนจะมีราคาถูกกว่าค่าโดยเฉลี่ยของหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนตามปกติ

4. การมองเชิงจุดอ่อนของคนเรา 4.1 ถ้าไม่ได้ออมเงินแบบอัตโนมัติ จะมีจุดอ่อนเข้ามาทำร้าย คือการใช้จ่ายในแต่ละเดือน 4.2 การตัดสินใจลงทุน หากเลือกเองก็จะซื้อในราคาที่แพง เพราะว่าผู้ลงทุนมักจะซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ซึ่งทำให้ซื้อแพงกว่าปกติ และส่วนใหญ่มักจะขายออกไปในช่วงที่ราคาหุ้นถูก ทำให้มีผลตรงกันข้ามกับการออมแบบอัตโนมัติ ซึ่งขายแพง ซื้อถูก

นอกจากนี้ โครงการรวยอัตโนมัติยังเป็นกุญแจที่ไขไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว และประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นทุนจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ 3.8% ต่อปี ขณะที่การลงทุนแบบอัตโนมัติสามารถให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ 4.8% ต่อปี ดังนั้น บางคนที่มีวินัยทางการเงินน้อย เราก็จะจัดระบบเงินออมให้ และการออมเงินที่แน่นอนทุกเดือนได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าด้วย

สำหรับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันประกันเงินฝากที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมนี้จะมีผลทำให้ความรับผิดชอบและการดูแลทรัพย์สินกลับมาอยู่ที่ผู้ลงทุนเอง การที่มีการคุ้มครองเงินฝากแบบจำกัด ทำให้นักลงทุนต้องศึกษารูปแบบการลงทุนอื่นมากขึ้น นอกเหนือจากการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ และมีการจัดแบ่งเงินให้เหมาะสม และยังทำให้มองเห็นการลงทุนที่กว้างขวางขึ้นจากเดิม โดยยังมีตราสารหนี้ และพันธบัตรที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม

ชุติพนธ์ อัชวรานนท์ ผู้อำนวยการ - หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ สายงานพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี กล่าวว่า Auto Saving Plan เริ่มจัดตั้งเมื่อประมาณต้นปี 2550 โดยจะเป็นบริการหักบัญชีเงินฝากเพื่อนำไปซื้อหน่วยลงทุนในจำนวนเงินที่เท่าๆ กันเป็นรายงวด โดยจะนำไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นหลัก โดยกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพจะเริ่มลงทุนครั้งแรกที่ 3,000 บาท และสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันต่อเดือนที่ 3,000 บาท ขณะที่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวจะเริ่มลงทุนครั้งแรกที่ 10,000 บาท และสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันต่อเดือนที่ 3,000 บาท

ส่วนข้อดีของการลงทุนในลักษณะนี้คือ เป็นการลงทุนที่มีระเบียบวินัย ที่สำคัญ การกระจายเงินลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging สามารถได้ประโยชน์ในระยะยาว โดยในช่วงที่ตลาดดี ก็จะสามารถซื้อหน่วยลงทุนน้อย ขณะที่ตลาดไม่ดีก็จจะสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้มากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นการสร้างวินัยการลงทุนที่ดีด้วย

สำหรับ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินจะส่งผลน้อยต่อ Auto Saving Plan เพราะว่าเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกัน และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่เข้ามาซื้อกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เพื่อต้องการการยกเว้นภาษีเป็นประจำอยู่แล้ว

เอื้อพันธ์ เพ็ชราภรณ์ ผู้บริหารฝ่ายบริหารผู้ลงทุนและทะเบียน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า K-Saving Plan เริ่มจัดตั้งเมื่อประมาณปี 2544 โดยจะเป็นบริการหักบัญชีเงินฝากของธนาคารกสิกรไทย เพื่อซื้อหน่วยลงทุนในจำนวนเงินที่เท่าๆ กันเป็นรายงวด โดยสามารถลงทุนต่อเดือนด้วยเงินเพียง 500 บาท และไม่จำกัดกองทุนรวมที่จะลงทุน และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายย่อยซึ่งประสงค์จะเก็บเงิน โดยมีเม็ดเงินเข้ามา สิ้นสุด เดือนธันวาคม 2550 โดยเฉลี่ยแล้วเดือนละ 6 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ จะมีโปรโมชั่น เริ่มต้นลงทุน 1,000 บาทขึ้นไปรับกระเป๋ามินิเฟล็กซี่

สำหรับ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้จะช่วยให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในตลาดมากขึ้น ทำให้สามรถกระจายความเสี่ยง และตลาดเงินตลาดทุนมีโอกาสเติบโตขึ้น