บลจ. บีที ฉวยจังหวะดัชนีหุ้นดีดตัว ท่ามกลางกระแสอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เปิดตัว "กองทุนเปิดบีที หุ้น ทาร์เก็ต 15/1"ลุยช้อนหุ้นSET50 และหุ้นขนาดกลางที่ปัจจัยพื้นฐาน และประวัติจ่ายปันผลดีเข้าพอร์ต 18 เดือน เพื่อสร้างตอบแทนระดับสูงคืนนักลงทุน เตรียมขายไอพีโอ 21 - 28 เมษายนนี้
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า สำหรับผลกำไรตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นกว่า 8.8%จากปีที่ผ่านมา ส่วนเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนนั้น คาดว่ายังคงให้ผลตอบแทนสูงถึง 4.5% ถ้าเทียบกับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 1 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3%
ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนเปิดบีที หุ้น ทาร์เก็ต 15/1 หรือ BT Equity Target 15/1 (BT - EQT 15/1) ซึ่งมีมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทำการไอพีโอครั้งแรกในระหว่างวันที่ 21 - 28 เมษายน 2551 ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเป็นประเภทกองทุนเปิดที่มีอายุโครงการ 18 เดือน ซึ่งบลจ.บีที จัดตั้งมาเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนในตราสารทุนให้แก่นักลงทุนระยะปานกลางที่สามารถรับความเสี่ยงของความผันผวนของตลาดหุ้นได้ โดยจะนำเงินลงทุนที่ระดมได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมุ่งเน้นถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นหลัก
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หรือเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนหรือมีโอกาสได้รับผลดีจากนโยบายของรัฐ หรือมีศักยภาพในการเติบโตสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
โดย การพิจารณาหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ในช่วง 1 ปีข้างหน้าในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ในภาวะปกติ ดังนั้นกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ในแต่ละไตรมาสมาเฉลี่ยประมาณ 5-6 กลุ่มหลักทรัพย์ และในกรณีที่มีความผิดปกติของตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนขอสงวนสิทธิที่จะลงทุนในจำนวนกลุ่มหลักทรัพย์แตกต่างจากที่กำหนด โดยถือว่าได้รับมติจากผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว ซึ่งกองทุนอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น แต่จะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
นอกจากนี้บริษัทจัดการจะลงทุนหรือแสวงหาประโยชน์เฉพาะจากหลักทรัพย์ หรือหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามที่ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดด้วย
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับกองทุนดังกล่าวบริษัทมีการบริหารพอร์ตด้วยการลงทุนในเซท 50 ไม่น้อยกว่า 60% และอีก 40% กองทุนจะเลือกเข้าไปลงทุนในหุ้นมาเก็ตแคปขนาดกลางที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่สูงด้วย
“บริษัทมีนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเน้นช่วงจังหวะของตลาดที่มีความเหมาะสม ฉะนั้นการเลือกลงทุนในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาค่อนข้างดี โดยมีการปรับตัวขึ้น รวมถึงราคาข้าวที่มีการปรับตัวสูงขึ้นขณะนี้ เช่นเดียวกับราคายางพารายังคงปรับตัวในด้านบวก ดังนั้นเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรจะมีการเติบโตมากขี้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับหุ้นกลุ่มหลักในเซท 50 ที่บริษัทจะเลือกเข้าไปลงทุนนั้นได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น ส่วนหุ้นกลุ่มขนาดกลางที่บริษัทจะเลือกเข้าไปลงทุนได้แก่ หมวดอุปโภคบริโภคเช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ค หรือหมวดพาณิชย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดบันเทิง และหมวดโรงผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ บลจ.บีที ประเมินว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่ผลตอบแทนตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ดังนั้นกองทุนดังกล่าวจึงสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่าต่อความเสี่ยงในการลงทุนได้
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า สำหรับผลกำไรตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้นกว่า 8.8%จากปีที่ผ่านมา ส่วนเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนนั้น คาดว่ายังคงให้ผลตอบแทนสูงถึง 4.5% ถ้าเทียบกับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 1 ปี ที่มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3%
ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนเปิดบีที หุ้น ทาร์เก็ต 15/1 หรือ BT Equity Target 15/1 (BT - EQT 15/1) ซึ่งมีมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทำการไอพีโอครั้งแรกในระหว่างวันที่ 21 - 28 เมษายน 2551 ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวเป็นประเภทกองทุนเปิดที่มีอายุโครงการ 18 เดือน ซึ่งบลจ.บีที จัดตั้งมาเพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนในตราสารทุนให้แก่นักลงทุนระยะปานกลางที่สามารถรับความเสี่ยงของความผันผวนของตลาดหุ้นได้ โดยจะนำเงินลงทุนที่ระดมได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมุ่งเน้นถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นหลัก
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หรือเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนหรือมีโอกาสได้รับผลดีจากนโยบายของรัฐ หรือมีศักยภาพในการเติบโตสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
โดย การพิจารณาหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ในช่วง 1 ปีข้างหน้าในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ในภาวะปกติ ดังนั้นกองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ในแต่ละไตรมาสมาเฉลี่ยประมาณ 5-6 กลุ่มหลักทรัพย์ และในกรณีที่มีความผิดปกติของตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนขอสงวนสิทธิที่จะลงทุนในจำนวนกลุ่มหลักทรัพย์แตกต่างจากที่กำหนด โดยถือว่าได้รับมติจากผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว ซึ่งกองทุนอาจจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงเท่านั้น แต่จะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง
นอกจากนี้บริษัทจัดการจะลงทุนหรือแสวงหาประโยชน์เฉพาะจากหลักทรัพย์ หรือหาดอกผลโดยวิธีอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามที่ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือประกาศสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดด้วย
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับกองทุนดังกล่าวบริษัทมีการบริหารพอร์ตด้วยการลงทุนในเซท 50 ไม่น้อยกว่า 60% และอีก 40% กองทุนจะเลือกเข้าไปลงทุนในหุ้นมาเก็ตแคปขนาดกลางที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี และสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่สูงด้วย
“บริษัทมีนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเน้นช่วงจังหวะของตลาดที่มีความเหมาะสม ฉะนั้นการเลือกลงทุนในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาค่อนข้างดี โดยมีการปรับตัวขึ้น รวมถึงราคาข้าวที่มีการปรับตัวสูงขึ้นขณะนี้ เช่นเดียวกับราคายางพารายังคงปรับตัวในด้านบวก ดังนั้นเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรจะมีการเติบโตมากขี้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับหุ้นกลุ่มหลักในเซท 50 ที่บริษัทจะเลือกเข้าไปลงทุนนั้นได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น ส่วนหุ้นกลุ่มขนาดกลางที่บริษัทจะเลือกเข้าไปลงทุนได้แก่ หมวดอุปโภคบริโภคเช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ค หรือหมวดพาณิชย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดบันเทิง และหมวดโรงผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ บลจ.บีที ประเมินว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่ผลตอบแทนตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง ดังนั้นกองทุนดังกล่าวจึงสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่าต่อความเสี่ยงในการลงทุนได้