xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ออฟไชน่าประกาศกำไรพุ่ง หลังลดการลงทุนซับไพรม์มะกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเชียน วอลล์สตรีท - แบงก์ออฟไชน่า กำไรพุ่งเกินคาด หลังไหวทัน ลดความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทซับไพร์มลงถึงครึ่งหนึ่งในสิ้นปีที่แล้ว

แบงก์ออฟไชน่า ธนาคารสินเชื่อรายใหญ่อันดับ 3 ของจีน เป็นสถาบันการเงินที่เข้าลงทุนในหลักทรัพย์ซับไพร์มของสหรัฐฯ หนักมือที่สุดในหมู่สถาบันการเงินในเอเชียด้วยกัน โดยเมื่อวันอังคาร ( 25 มีนาคม) ธนาคารประกาศผลกำไรสุทธิในปีที่แล้ว อยู่ที่ 7,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มร้อยละ 31 จากปีก่อนหน้า โดยการขาดทุนจากการลงทุนในหลักทรัพย์ซับไพร์ม ไม่ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของแบงก์ออฟไชน่า ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ แต่อย่างใด

กำไรที่พุ่งเกินการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทำให้ราคาหุ้นแบงก์ออฟไชน่าในตลาดฮ่องกง ดีดขึ้นถึงร้อยละ 2.8 ไปอยู่ที่ 3.33 ดอลลาร์ฮ่องกงระหว่างทำการซื้อขายช่วงเช้าวันพุธ (26มีนาคม) อันเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบหนึ่งเดือน

ขณะที่ธนาคารบีโอซีฮ่องกง ซึ่งเป็นสาขาของแบงก์ออฟไชน่าประกาศผลกำไรสุทธิปีที่แล้ว อยู่ที่ 1,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้า

ด้านไอซีบีซี ธนาคารสินเชื่อรายใหญ่ที่สุดของจีน ประกาศกำไรสุทธิในปี 2007 พุ่งถึงร้อยละ65 เป็น 81,520 ล้านหยวนจาก 49,260 ล้านหยวนในปีก่อนหน้า

แบงก์ออฟไชน่าแถลงว่า ธนาคารได้เริ่มลงทุนในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพร์ม) มาตั้งแต่ปี 2002 โดยในสิ้นปี 2006 ธนาคารมีสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุนสูงถึงราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ลดการลงทุนประเภทนี้ลงด้วยวิธีการแทงบัญชีหนี้สูญ หรือขายหน่วยลงทุนออกไปในราคาต่ำ โดยทิ้งการลงทุนส่วนหนึ่งในหลักทรัพย์ซับไพร์มที่มีความเสี่ยงสูงในสหรัฐฯ และหนี้สินปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยกู้สินเชื่อด้อยคุณภาพทั้งหมดของธนาคารในช่วงไตรมาสสี่ โดยเฉพาะการยกเลิกการลงทุน CDO ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่สุดตัวหนึ่งนั้น สามารถลดความเสี่ยงของธนาคารอย่างเห็นได้ชัด

การไหวตัวได้ทันเวลานี้ ทำให้ธนาคารสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าวลงได้ถึง 4,990 ล้านดอลลาร์ หรือถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ที่ธนาคารเคยประกาศรายละเอียดครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

นอกจากนั้น ธนาคารยังได้ลงบัญชีกันสำรองเงินเผื่อสำหรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้จำนวน 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย

"เราอาจตัดการถือครองการลงทุนซับไพร์มลงอีก แต่ถึงแม้จะถือครองต่อไป ก็จะไม่ก่อให้เกิดหนี้ใหม่ เนื่องจากธนาคารได้กันเงินสำหรับหนี้สูญไว้อย่างเพียงพอสำหรับการลงทุนประเภทนี้ " นายหลี่ ลี่ฮุย ผู้จัดการใหญ่และรองประธานกรรมการแบงก์ออฟไชน่า กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมิได้ระบุชัดเจนว่า ประสบการขาดทุนจากการลงทุนประเภทซับไพร์มเท่าใด คาดว่า นักวิเคราะห์คงจะใช้เวลาอีก 2-3 วัน ชี้ตัวเลขการขาดทุนที่แท้จริงออกมาให้ดู แต่ธนาคารต่างชาติโดยทั่วไป ขาดทุนจากเรื่องนี้ระหว่างร้อยละ 30-50 ของมูลค่าการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่า หนี้จากการลงทุนซับไพร์มอาจไม่มีผลกดดันต่อกำไรสุทธิของธนาคาร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่ามีวิธีการลงบัญชีอย่างไร สำหรับกรณีแบงก์ออฟไชน่านั้น หนี้บางส่วนควรถูกลงบัญชีในส่วนของหลักทรัพย์ ที่มีผู้ถือหุ้น มากกว่าการลงบัญชีเป็นตัวเลขกำไรขาดทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น