xs
xsm
sm
md
lg

"ทิสโก้"ฟันธงอนาคตสินค้าเกษตรรุ่ง เตรียมส่งกองทุนFIFลุยตลาดฟิวเจอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ทิสโก้คาดแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรเติบโตเพิ่มขึ้นจากดีมานด์และการบริโภคที่มีอยู่สูง ล่าสุดเตรียมเข็ญกองทุนเอฟไอเอฟ "ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโรฟันด์" ลงทุนตลาดฟิวเจอร์สินค้าเกษตร ล่อใจนักลงทุนช่วงปลายเดือนนี้ คาดผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 11.68% ต่อปี มั่นใจเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงภาวะตลาดหุ้น-ตราสารหนี้ทั่วโลกทรุดจากผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มของสินค้าเกษตรในปัจจุบันกำลังเป็นการลงทุนทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการบริโภคของประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน และอินเดีย มีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงแนวทางการใช้พลังงานบริสุทธิ์ เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรมีการปรับตัวขึ้นเป็นอย่างมากในอนาคต

โดยการลงทุนในสินค้าเกษตรช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดี สำหรับลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปใน Asset Class ใหม่ๆ ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง หลังจากสถานการณ์ของตลาดหุ้น และตราสารหนี้ที่ชะลอตัวลงในขณะนี้ โดยจะเห็นได้ว่าผู้จัดการกองทุนต่างๆ เริ่มกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนเข้ามาลงทุนในสินค้าประเภทนี้มากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทจึงได้เตรียมที่จะออกกองทุนใหม่"ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโรฟันด์" ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่ลงทุนในต่างประเทศ ผ่านกองทุนรวมเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือกองทุน DB Piatinum Agriculture Euro Fund ซึ่งจัดตั้งในประเทศลักเซมเบิร์ก โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทสินค้าเกษตร ในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยการลงทุนในสกุลเงินยูโร

"กองทุนนี้จะไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น เราจะลงในฟิวเจอร์ของสินค้าเกษตรเลย ซึ่งจะมีหลักๆ ด้วยกัน 4 ตัวคือ ข้าวโพด น้ำตาล ถั่วเหลือง และข้าวสาลี และความผันผวนของราคาสินค้านี้ที่ผ่านมาค่อนข้างน้อย อีกทั้งสินค้าที่เราเลือกราคามักจะมีการปรับตัวทดแทนกันเสมอ ส่วนที่เลือกการลงทุนต่างประเทศเพราะเห็นว่า มีสภาพคล่อง และสินค้าให้เลือกมากกว่าในประเทศไทย"นายธีรนาถกล่าว

สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเฉลี่ยจากผลตอบแทนในช่วงที่ผ่าน คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 11.68% โดยผลตอบแทนของ db Agriculture Euro Index ในรอบ 1 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 34.73% ส่วน 3 ปีย้อนอยู่ 64.48% และ 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 73.77% ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวจะสะท้อนการปรับตัวขึ้นลงของราคาสินค้าเกษตรโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยหลังจากนี้มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการสินค้าเกษตรประเภทธัญพืช จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.3 ล้านตันภายในปี 2050

นายธีรนาถ กล่าวอีกว่า การลงทุนในกองทุนนี้จะมีการเปิดช่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ เนื่องจากเชื่อว่านักลงทุนที่ต้องการไปลงทุนในต่างประเทศน่าจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว อีกทั้งการเลือกสกุลเงินที่บริษัทจะเขาไปลงทุนได้มีการพิจารณาอย่างดีแล้ว โดยเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถสร้างผลตอบแทนในเรื่องของค่าเงินให้กับนักลงทุนได้อีกด้วย

ทั้งนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโรฟันด์ ยังอยู่ในระหว่างการขออนุมัติจาก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ซึ่งจะมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตามทางบริษัทคาดว่าจะสามารถทำการเปิดขายครั้งแรกได้ในประมาณวันที่ 28 มีนาคมนี้ และน่าจะทำการปิดขายประมาณวันที่ 4 หรือ 9 เมษายน 2551

ด้าน นายพิชา รัตนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน ธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ความน่าสนใจของสินค้าเกษตร มาจากสถานการณ์ในปัจจุบันซึ่งทั่วโลกมีความต้องการบริโภคสินค้าประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ทรัพยากรมีอยู่จำกัด อีกทั้งกระแสความต้องการพลังงานทดแทน หลังจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สินค้าเกษตรเหล่านี้มีการผลิตไม่เพียงพอ จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตราคาของสินค้าประเภทนี้จะมีการปรับตัวสูงขึ้น

"ปัจจุบันมีการนำพืช เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง รวมถึงธัญพืชอื่นๆ มาใช้ในการทำเอทานอล เพื่อผลิตเชื้อเพลงชีวภาพมาก ทำให้นอกจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความต้องการในเรื่องของพลังงานทดแทน จะเป็นตัวผลักดันให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น จากการที่ผลิตที่มีอยู่อาจจะไม่เพียงพอในอนาคต"นายพิชากล่าว
ทั้งนี้ การที่บริษัทนำเสนอกองทุนที่ลงทุนในสินค้าเกษตรออกมา เนื่องจากเห็นว่าในช่วงที่ตลาดหุ้น และพันธบัตรมันได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว จึงน่าที่จะนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนบ้าง โดยสินค้าเกษตรในช่วงที่ผ่าน ราคาของสินค้าประเภทนี้มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวไม่มาก เพราะประเทศอย่างจีน และอินเดีย ยังมีการบริโภคเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น