บลจ.เอ็มเอฟซี ทบทวนแผนออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หลังกฏเหล็ก 30% ยกเลิก เผยเตรียมเข็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกันดันไซด์กองทุน THOS เดิมเป็นกองทุนขนาดใหญ่ พร้อมเดินสายโรดโชว์ หวังดึงความสนใจจากนักลงทุนช่างชาติ ระบุเดือนมีนาคมนี้ ส่งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์มูลค่า 1 พันล้านบาทลุยตลาดตามแผนเดิมก่อนเลิก 30% เน้นลงทุนคอนโด-บ้านเดี๋ยวให้เช่า
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าจะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) อย่างน้อย 3 กองทุน หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เรียบร้อยแล้ว โดยแผนการออกกองทุนดังกล่าว จะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ด้วยการนำสินทรัพย์ที่มีความใกล้เคียงกันมารวมกันเพื่อขยายขนาดกองทุนให้ใหญ่ขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ บริษัทได้เตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองใหม่มูลค่า 1 พันล้านบาท โดยเป็นกองทุนต่อเนื่องจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี นิชดาธานี ที่บริษัทเปิดขายไปก่อนหน้านี้ เพราะสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน เป็นโครงการบ้านเดี๋ยวและคอนโดมีเนียมให้เช่าของบริษัท นิชดาธานี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องเปิดกองทุนใหม่แทนการเพิ่มทุนกองเดิม เนื่องจากสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แม้จะเป็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกันกับกองทุนเดิมก็ตาม โดยในส่วนของสิทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 1 ใน 4 ของสินทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุนทั้งหมด ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก
สำหรับกองทุนดังกล่าว มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดระดมทุนได้ประมาณเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งการที่กองทุนมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก จึงเน้นระดมทุนจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก
"กองทุนนี้เป็นกองทุนที่เราเตรียมไว้ตามแผนระดมทุน ก่อนจะมีการประกาศยกเลิกมาตรการ 30% เพราะเราเองคาดการณ์ไว้ว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะยกเลิกประมาณเดือนเมษายนหรือในช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการพิจารณาดอกเบี้ย ทำให้เราต้องเปิดกองทุนนี้ตามแผนเดิม"นายศุภกรกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ บริษัทจะหารือและทบทวนแผนการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองใหม่อีกครั้ง หลังจากมาตรการ 30% ยกเลิกแล้ว โดยเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยฮอสพิทัลลิตี้ฟันด์ (THOS) มูลค่าประมาณ 5,625 ล้านบาท ซึ่งอาจจะต้องมีการทบทวนสินทรัพย์ที่จะนำเข้ามาจัดตั้งเป็นกองทุนเพิ่มเติมเพื่อให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องวางแผนการให้ข้อมูล (โรดโชว์) กับนักลงทุนต่างชาติด้วย
นายศุภกรกล่าวว่า ในปีนี้เชื่อว่าจะมีหลาย บลจ.เปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น แต่ก็มองว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ เพราะสิ่งสำคัญต้องดูว่ากองทุนอสังหานั้นๆ มีขนาดใหญ่เพียงพอหรือไม่ เพราะนักลงทุนต่างชาติจะสนใจลงทุนในกองทุนที่มีขนาดสินทรัพย์มูลค่า 100-200 ล้านเหรียญขึ้นไปหรือประมาณ 3 พันล้านบาทขึ้นไป
"ในปีที่ผ่านมากองทุนอสังหาฯ ไม่ได้มีออกมามากนัก ซึ่งก็เป็นผลมาจากมาตรการกันสำรอง 30% ดังนั้น เราจึงเห็นการปรับกลยุทธ์โดยการแบ่งสินทรัพย์ออกเป็นขนาดเล็กลง อยู่ที่ประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท เพื่อระดมทุนในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากกองทุนเหล่านี้ต่างชาติไม่สนใจ ดังนั้น ในปีนี้เอง บลจ.จึงต้องปรับแผนธุรกิจใหม่เพื่อให้สินทรัพย์มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อดึงความสนใจากนักลงทุนต่างชาติ"นายศุภกรกล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ และอัตราเงินเฟ้อที่สูง เพราะกองทุนอสังหามีการผันแปรไปตามภาวะเงินเฟ้อได้ดี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนควรคิดคือ การลงทุนอย่างไรให้หนีอัตราเงินเฟ้อได้ทัน
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยฮอสพิทัลลิตี้ฟันด์ (THOS) เดิมเป็นกองทุนที่ลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ท มูลค่าโครงการรวม 5,625 ล้านบาท ซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภทในจำนวน 2 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารสาธร ยูนีค ที่เป็นโรงแรมและคอนโดมีเนียมในกรุงเทพฯ มูลค่า 4,055 ล้านบาท และโรงแรม เลอ รอยัล เมอริเดียล ภูเก็ต ยอร์ช คลับ รีสอร์ทระดับ 5 ดาวในจังหวัดภูเก็ต มูลค่า 1,570 ล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ทั้ง 2 โครงการ เป็นการลงทุนโดยได้กรรมสิทธิ์เป็นสินทรัพย์ของกองทุนรวมโดยสมบูรณ์ (Freehold)
นายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าจะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) อย่างน้อย 3 กองทุน หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เรียบร้อยแล้ว โดยแผนการออกกองทุนดังกล่าว จะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ด้วยการนำสินทรัพย์ที่มีความใกล้เคียงกันมารวมกันเพื่อขยายขนาดกองทุนให้ใหญ่ขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ บริษัทได้เตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองใหม่มูลค่า 1 พันล้านบาท โดยเป็นกองทุนต่อเนื่องจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี นิชดาธานี ที่บริษัทเปิดขายไปก่อนหน้านี้ เพราะสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน เป็นโครงการบ้านเดี๋ยวและคอนโดมีเนียมให้เช่าของบริษัท นิชดาธานี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องเปิดกองทุนใหม่แทนการเพิ่มทุนกองเดิม เนื่องจากสินทรัพย์ที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แม้จะเป็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกันกับกองทุนเดิมก็ตาม โดยในส่วนของสิทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 1 ใน 4 ของสินทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุนทั้งหมด ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก
สำหรับกองทุนดังกล่าว มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดระดมทุนได้ประมาณเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งการที่กองทุนมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก จึงเน้นระดมทุนจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก
"กองทุนนี้เป็นกองทุนที่เราเตรียมไว้ตามแผนระดมทุน ก่อนจะมีการประกาศยกเลิกมาตรการ 30% เพราะเราเองคาดการณ์ไว้ว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะยกเลิกประมาณเดือนเมษายนหรือในช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการพิจารณาดอกเบี้ย ทำให้เราต้องเปิดกองทุนนี้ตามแผนเดิม"นายศุภกรกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ บริษัทจะหารือและทบทวนแผนการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองใหม่อีกครั้ง หลังจากมาตรการ 30% ยกเลิกแล้ว โดยเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยฮอสพิทัลลิตี้ฟันด์ (THOS) มูลค่าประมาณ 5,625 ล้านบาท ซึ่งอาจจะต้องมีการทบทวนสินทรัพย์ที่จะนำเข้ามาจัดตั้งเป็นกองทุนเพิ่มเติมเพื่อให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องวางแผนการให้ข้อมูล (โรดโชว์) กับนักลงทุนต่างชาติด้วย
นายศุภกรกล่าวว่า ในปีนี้เชื่อว่าจะมีหลาย บลจ.เปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น แต่ก็มองว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ เพราะสิ่งสำคัญต้องดูว่ากองทุนอสังหานั้นๆ มีขนาดใหญ่เพียงพอหรือไม่ เพราะนักลงทุนต่างชาติจะสนใจลงทุนในกองทุนที่มีขนาดสินทรัพย์มูลค่า 100-200 ล้านเหรียญขึ้นไปหรือประมาณ 3 พันล้านบาทขึ้นไป
"ในปีที่ผ่านมากองทุนอสังหาฯ ไม่ได้มีออกมามากนัก ซึ่งก็เป็นผลมาจากมาตรการกันสำรอง 30% ดังนั้น เราจึงเห็นการปรับกลยุทธ์โดยการแบ่งสินทรัพย์ออกเป็นขนาดเล็กลง อยู่ที่ประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท เพื่อระดมทุนในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากกองทุนเหล่านี้ต่างชาติไม่สนใจ ดังนั้น ในปีนี้เอง บลจ.จึงต้องปรับแผนธุรกิจใหม่เพื่อให้สินทรัพย์มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อดึงความสนใจากนักลงทุนต่างชาติ"นายศุภกรกล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ และอัตราเงินเฟ้อที่สูง เพราะกองทุนอสังหามีการผันแปรไปตามภาวะเงินเฟ้อได้ดี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนควรคิดคือ การลงทุนอย่างไรให้หนีอัตราเงินเฟ้อได้ทัน
สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยฮอสพิทัลลิตี้ฟันด์ (THOS) เดิมเป็นกองทุนที่ลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ท มูลค่าโครงการรวม 5,625 ล้านบาท ซึ่งกองทุนจะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ 2 ประเภทในจำนวน 2 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารสาธร ยูนีค ที่เป็นโรงแรมและคอนโดมีเนียมในกรุงเทพฯ มูลค่า 4,055 ล้านบาท และโรงแรม เลอ รอยัล เมอริเดียล ภูเก็ต ยอร์ช คลับ รีสอร์ทระดับ 5 ดาวในจังหวัดภูเก็ต มูลค่า 1,570 ล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ทั้ง 2 โครงการ เป็นการลงทุนโดยได้กรรมสิทธิ์เป็นสินทรัพย์ของกองทุนรวมโดยสมบูรณ์ (Freehold)