“แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์”ลั่นไม่สนตั้งพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์กองใหม่ รวมทั้งไม่เพิ่มทุนในกองเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แจงเหตุทุ่มงบ 500-600 ล้านบาทให้บริษัทย่อยเพื่อใช้ในการก่อสร้างเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ย่านสุขุมวิท 19 ที่มีมูลค่า 5,000 ล้านบาทให้แล้วเสร็จรับแนวโน้มธุรกิจเติบโต ล่าสุดมูลทรัพย์สินทั้งกองทุนอสังหาฯ และธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ รวมกันโตกว่า 8,600 ล้านบาท
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวถึงการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม นอกเหนือจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2543 โดยขณะนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร ณ ปัจจุบันประมาณ 4,900 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นด้วย
ทั้งนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จัดเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประเภทกอง2 หมายถึง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทจัดการจัดตั้งขึ้นเพื่อจำหน่ายหน่วยลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหน่วยลงทุนไปซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนในสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว
โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายเข้าลงทุนอาคารหรือตึกสูงทั้งในแบบที่สร้างเสร็จ และสร้างไม่เสร็จ และจะนำอาคารดังกล่าวมาพัฒนาปรับปรุงให้เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ ก่อนจะนำไปขายหรือเปิดให้เช่าต่อไป
“กองทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาล ประกาศยกเว้น หรือยกเลิกภาษีในหลายๆด้าน เพื่อให้เกิดการจัดตั้งกองทุนขึ้นในช่วงเวลานั้น ดังนั้นบริษัทจึงไม่มีแผนที่จะทำการเพิ่มทุนในกองทุนนี้ เพราะหากทำการเพิ่มทุนจะไม่เกิดประโยชน์ในด้านภาษีต่อบริษัทเลย”
กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ LH กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 3,158.9 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ รวมกับธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ของบริษัท แอล แอนด์ เอช พร็อพเพอร์ตี้ (บริษัทย่อย) ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้ถึงร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนการรับรู้กำไรสุทธิจากธุรกิจในส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราการเข้าพักในโครงการอพาร์ทเมนท์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นบริษัทฯจึงมีแผนที่จะเพิ่มเงินลงทุนในบริษัทย่อยดังกล่าวปีละประมาณ 500 – 600 ล้านบาท จนถึงปี 2553 เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ย่านสุขุมวิท 19 มูลค่า 5,000 ล้านบาทแล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ ซึ่งพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการนี้เป็นพื้นที่เช่าในแบบสัญญาระยะยาว
สำหรับ บริษัท แอล แอนด์ เอช พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง LH และ Government of Singapore Investment Corporation หรือ GIC ของรัฐบาลสิงคโปร์ ในสัดส่วน 60:40 ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจให้เช่าเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2 แห่ง ย่านถนนนราธิวาสและราชดำริ โดยปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมประมาณ 3,700 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง LH ว่าบริษัทประกาศผลประกอบการปี 47 มีกำไร 3,159 ล้านบาท (EPS 0.36 บาท/หุ้น) โดย 11 เดือนแรกของปีก่อน LH มี ส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวถึง 17.3% ของบ้านเดี่ยวทั้งหมด (ปี 49 มีส่วนแบ่งตลาด 15.3%) ขณะที่ทาวน์เฮ้าและคอนโดมีส่วนแบ่งตลาดที่ 2.1% สำหรับในปี 51 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 21,000 ล้านบาท โดยจะเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 12,006 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 7,960 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 5 โครงการ มูลค่า 2,426 ล้านบาท และคอนโด 2 โครงการ มูลค่า 1,620 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกจะเปิด 5 โครงการและครึ่งปีหลังจะเปิดที่เหลือ 9 โครงการ ส่วนราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น บริษัทไม่เป็นกังวลมากนัก เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้บริษัทคาดว่าจะมีโอกาสปรับราคาเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่ Backlog ณ สิ้นปี มีอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีบ้านพร้อมขาย 700 หลัง
“เรามองแนวโน้มบ้านเดี่ยวจะกลับมาเติบโตในอนาคต เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจนและเส้นทางที่เข้าไปแถบชานเมืองมากขึ้น ทำให้บ้านเดี่ยวชานเมืองอาจกลับมาได้รับความสนใจ ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อบ้านโดยเฉพาะลูกค้าระดับกลางที่เป็นเป้าหมายของบริษัท เราประเมินรายได้ปี 51 ของ LH จะอยู่ที่ 21,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%YoY โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ระดับ 31% โดยคาดว่าจะมีกำไรที่ 3,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%YoY (EPS 0.40 บาท/หุ้น)”
ทั้งนี้ บล.ยูไนเต็ด แนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาปัจจัยพื้นฐานปี 51 ที่ 9.60 บาท เนื่องจาก LH เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อยประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการที่พักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุดพักอาศัยเพื่อขาย โดยเน้นการพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขณะที่บริษัทย่อยจะพัฒนาโครงการในจังหวัดใหญ่ๆ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา และภูเก็ต โครงการที่บริษัทและบริษัทย่อยพัฒนาเพื่อขายแก่ลูกค้าแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) บ้านสั่งสร้าง ใช้เฉพาะโครงการประเภทบ้านเดี่ยว โดยบริษัทจะให้ลูกค้าสั่งซื้อบ้านตามแบบที่ลูกค้าต้องการ 2) บ้านสร้างก่อนขาย ใช้กับโครงการประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุดพักอาศัยเพื่อขาย โดยบริษัทจะทำการสร้างบ้านให้เสร็จก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กล่าวถึงการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม นอกเหนือจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2543 โดยขณะนี้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร ณ ปัจจุบันประมาณ 4,900 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นด้วย
ทั้งนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จัดเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ประเภทกอง2 หมายถึง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทจัดการจัดตั้งขึ้นเพื่อจำหน่ายหน่วยลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหน่วยลงทุนไปซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนในสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว
โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายเข้าลงทุนอาคารหรือตึกสูงทั้งในแบบที่สร้างเสร็จ และสร้างไม่เสร็จ และจะนำอาคารดังกล่าวมาพัฒนาปรับปรุงให้เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ ก่อนจะนำไปขายหรือเปิดให้เช่าต่อไป
“กองทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาล ประกาศยกเว้น หรือยกเลิกภาษีในหลายๆด้าน เพื่อให้เกิดการจัดตั้งกองทุนขึ้นในช่วงเวลานั้น ดังนั้นบริษัทจึงไม่มีแผนที่จะทำการเพิ่มทุนในกองทุนนี้ เพราะหากทำการเพิ่มทุนจะไม่เกิดประโยชน์ในด้านภาษีต่อบริษัทเลย”
กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ LH กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 3,158.9 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ รวมกับธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ของบริษัท แอล แอนด์ เอช พร็อพเพอร์ตี้ (บริษัทย่อย) ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้ถึงร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนการรับรู้กำไรสุทธิจากธุรกิจในส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราการเข้าพักในโครงการอพาร์ทเมนท์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นบริษัทฯจึงมีแผนที่จะเพิ่มเงินลงทุนในบริษัทย่อยดังกล่าวปีละประมาณ 500 – 600 ล้านบาท จนถึงปี 2553 เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ย่านสุขุมวิท 19 มูลค่า 5,000 ล้านบาทแล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ ซึ่งพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการนี้เป็นพื้นที่เช่าในแบบสัญญาระยะยาว
สำหรับ บริษัท แอล แอนด์ เอช พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง LH และ Government of Singapore Investment Corporation หรือ GIC ของรัฐบาลสิงคโปร์ ในสัดส่วน 60:40 ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจให้เช่าเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2 แห่ง ย่านถนนนราธิวาสและราชดำริ โดยปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมประมาณ 3,700 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง LH ว่าบริษัทประกาศผลประกอบการปี 47 มีกำไร 3,159 ล้านบาท (EPS 0.36 บาท/หุ้น) โดย 11 เดือนแรกของปีก่อน LH มี ส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวถึง 17.3% ของบ้านเดี่ยวทั้งหมด (ปี 49 มีส่วนแบ่งตลาด 15.3%) ขณะที่ทาวน์เฮ้าและคอนโดมีส่วนแบ่งตลาดที่ 2.1% สำหรับในปี 51 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 21,000 ล้านบาท โดยจะเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 12,006 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 7,960 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 5 โครงการ มูลค่า 2,426 ล้านบาท และคอนโด 2 โครงการ มูลค่า 1,620 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกจะเปิด 5 โครงการและครึ่งปีหลังจะเปิดที่เหลือ 9 โครงการ ส่วนราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น บริษัทไม่เป็นกังวลมากนัก เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้บริษัทคาดว่าจะมีโอกาสปรับราคาเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ขณะที่ Backlog ณ สิ้นปี มีอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีบ้านพร้อมขาย 700 หลัง
“เรามองแนวโน้มบ้านเดี่ยวจะกลับมาเติบโตในอนาคต เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าที่มีความชัดเจนและเส้นทางที่เข้าไปแถบชานเมืองมากขึ้น ทำให้บ้านเดี่ยวชานเมืองอาจกลับมาได้รับความสนใจ ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อบ้านโดยเฉพาะลูกค้าระดับกลางที่เป็นเป้าหมายของบริษัท เราประเมินรายได้ปี 51 ของ LH จะอยู่ที่ 21,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%YoY โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ระดับ 31% โดยคาดว่าจะมีกำไรที่ 3,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%YoY (EPS 0.40 บาท/หุ้น)”
ทั้งนี้ บล.ยูไนเต็ด แนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาปัจจัยพื้นฐานปี 51 ที่ 9.60 บาท เนื่องจาก LH เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งบริษัทและบริษัทย่อยประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการที่พักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุดพักอาศัยเพื่อขาย โดยเน้นการพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขณะที่บริษัทย่อยจะพัฒนาโครงการในจังหวัดใหญ่ๆ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา และภูเก็ต โครงการที่บริษัทและบริษัทย่อยพัฒนาเพื่อขายแก่ลูกค้าแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) บ้านสั่งสร้าง ใช้เฉพาะโครงการประเภทบ้านเดี่ยว โดยบริษัทจะให้ลูกค้าสั่งซื้อบ้านตามแบบที่ลูกค้าต้องการ 2) บ้านสร้างก่อนขาย ใช้กับโครงการประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุดพักอาศัยเพื่อขาย โดยบริษัทจะทำการสร้างบ้านให้เสร็จก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า