บลจ.กสิกรไทยชี้ ยังไม่ถึงเวลาต้องยุบรวมกองทุน ระบุแม้เอ็นเอวีจะต่ำที่ระดับ 5-6 บาท แต่ก็มีปันผลที่เป็นจุดขายดึงเงินลงทุนเข้ามาต่อเนื่อง แต่ยังย้ำว่าคงไม่ฝืน หากลูกค้าเข้ามาน้อย ส่วนกรณีแบงก์ออกเคมเปญดูดเงินฝากไม่น่าห่วง ยอมรับกระทบระยะสั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แถมมีพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากช่วยหนุน เผยตั้งเป้าปีนี้โต 20% ด้วยสินทรัพย์รวม 3.8 แสนล้านบาท
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด (Kasset) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ยังไม่มีแผนยุบกองทุนใดๆ เพื่อสร้างมูลค่าให้กองทุนรวมของบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน กองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทบางกองจะมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ต่ำอยู่ที่ประมาณ 5-6 บาท แต่ถือว่าเป็นกองทุนที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่ NAV ไม่ขยับขึ้นมากนักเนื่องจากบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง คิดเป็น 90% ของกำไรที่ได้จากการบริหารกองทุน ซึ่งการจ่ายปันผลที่ระดับ 90% นั้นถือเป็นนโยบายของกองทุนที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากกองทุนใดที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนน้อยราย ก็มีโอกาสปิดกองทุนได้ ซึ่งเท่าที่ดูในขณะนี้มีเพียง 2-3 กองทุนเท่านั้น
"ตอนนี้เรายังไม่มีแผนยุบรวมกองทุนใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากมองว่ายังมีนักลงทุนสนใจเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อมีนักลงทุนเข้าลงทุนอยู่ ก็ถือว่ายังไม่เป็นปัญหาและไม่จำเป็นต้องยุบ ประกอบกับเมื่อนักลงทุนบางรายเห็นว่ากองทุนใดมีราคาถูกก็สามารถเข้ามาซื้อเพิ่มได้อีก ก็อาจจะทำให้กองทุนนั้นๆ มีอัตราการเติบโตขึ้นมาได้อีก"นางวิวรรณกล่าว
ส่วนกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องการระดมเงินฝากมากขึ้นในช่วงนี้ นางวิวรรณให้ความเห็นว่า มีผลกระทบต่อการลงทุนของเม็ดเงินที่จะเข้ามาในกองทุนรวมแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินฝาก โดยเฉพาะกองทุนที่จะเปิดขายใหม่ แต่ก็มองว่าเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากมองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในกองทุนเป็นนักลงทุนขาประจำอยู่แล้ว และเป็นลูกค้าก็เป็นคนละกลุ่มกัน
นอกจากนี้ ยังมองว่าการลงทุนในกองทุนรวม ยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และไม่ต้องเสียภาษี ขณะเดียวกันในเรื่องพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากยังจะเป็นตัวหนุนให้มีเงินไหลเข้ามาในกองทุนรวมมากขึ้น เนื่องจากช่วงกลางปีนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าว จะมีการกำหนดวงเงินที่จะคุ้มครองชัดเจน อีกทั้งแคมเปญที่ธนาคารฯ ต่างๆ ออกมาเป็นแคมเปญที่มีกำหนดระยะเวลาแต่กองทุนบางประเภทมีสภาพคล่องที่สูงกว่าโดยไม่กำหนดระยะเวลา และสามารถไถ่ถอนได้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับนักลงทุน
"ในปีนี้บริษัทจะหันมาเน้นในเรื่องของการปรับปรุงการบริการและหาสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในกองทุนใหม่ๆ"นางวิวรรณกล่าว
สำหรับแผนงานในปีนี้ นางวิวรรณกล่าวว่า บริษัทยังตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารการจัดการ (NAV) เติบโตเป็น 3.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 20% จากปี 2550 ที่อยู่ที่ 3.18 แสนล้านบาท โดยบริษัทมีเป้าหมายในการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ให้ได้ไม่ต่ำกว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งหมด
“การเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมา เกิดจากตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความแตกต่างในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อปรับความเสี่ยงแล้วผลตอบแทนที่ได้รับยังสูงกว่าการลงทุนในประเทศ ทำให้นักลงทุนมีความสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่วนต่างที่เคยมีก็หายไป จึงคาดว่าการเติบโตของธุรกิจหลังจากจะอยู่ในช่วงปกติประมาณ 15-20%”นางวิวรรณกล่าว
สำหรับแผนการออกกองทุนของบริษัทในปีนี้จะมีการเปิดขายกองทุนรวมทั้งหมด 22 กองทุนและมีมูลค่าโครงการร่วมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงเริ่มต้นแบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 กอง กองทุนต่างประเทศ 8 กอง กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 3 กอง และกองทุนหุ้น 1 กอง ซึ่งในส่วนของกองทุนต่างประเทศที่บริษัทจะออกไปลงทุนนั้นจะเป็นกองที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น กองทุนที่ลงทุนในพลังงานทางเลือกใหม่ กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือกองทุนที่ลงทุนในสินค้าเกษรตรเป็นต้น
ส่วนกองทุนอสัหาริมทรัพย์นั้นบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งสินทรัพย์ที่คาดว่าจะนำเงินไปลงทุนได้แก่ เซอร์วิสอาร์พาร์ทเมนท์ ที่อยู่อาศัย รีสอร์ต และโรงแรม เป็นต้น ส่วนกองทุนหุ้นอีก 1 กองคาดว่าน่าจะลงทุนใน ETF หรือ กองทุนตลาดรอง นอกจากนี้ Energy ETF ทางบริษัทก็มีความสนใจเช่นกัน แต่ขณะนี้ต้องขึ้นอยู่กับตลาดหลักทรัพย์ว่าจะเลือกให้ใครเป็นผู้จัดทำ เพราะทางบริษัทนั้นพร้อมที่จะทำในส่วนนี้ หลังจากที่เพิ่งได้รับจดหมายให้ส่งข้อเสนอไป
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด (Kasset) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ยังไม่มีแผนยุบกองทุนใดๆ เพื่อสร้างมูลค่าให้กองทุนรวมของบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน กองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทบางกองจะมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ต่ำอยู่ที่ประมาณ 5-6 บาท แต่ถือว่าเป็นกองทุนที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่ NAV ไม่ขยับขึ้นมากนักเนื่องจากบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง คิดเป็น 90% ของกำไรที่ได้จากการบริหารกองทุน ซึ่งการจ่ายปันผลที่ระดับ 90% นั้นถือเป็นนโยบายของกองทุนที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากกองทุนใดที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนน้อยราย ก็มีโอกาสปิดกองทุนได้ ซึ่งเท่าที่ดูในขณะนี้มีเพียง 2-3 กองทุนเท่านั้น
"ตอนนี้เรายังไม่มีแผนยุบรวมกองทุนใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากมองว่ายังมีนักลงทุนสนใจเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อมีนักลงทุนเข้าลงทุนอยู่ ก็ถือว่ายังไม่เป็นปัญหาและไม่จำเป็นต้องยุบ ประกอบกับเมื่อนักลงทุนบางรายเห็นว่ากองทุนใดมีราคาถูกก็สามารถเข้ามาซื้อเพิ่มได้อีก ก็อาจจะทำให้กองทุนนั้นๆ มีอัตราการเติบโตขึ้นมาได้อีก"นางวิวรรณกล่าว
ส่วนกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ต้องการระดมเงินฝากมากขึ้นในช่วงนี้ นางวิวรรณให้ความเห็นว่า มีผลกระทบต่อการลงทุนของเม็ดเงินที่จะเข้ามาในกองทุนรวมแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงที่ธนาคารพาณิชย์มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินฝาก โดยเฉพาะกองทุนที่จะเปิดขายใหม่ แต่ก็มองว่าเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากมองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในกองทุนเป็นนักลงทุนขาประจำอยู่แล้ว และเป็นลูกค้าก็เป็นคนละกลุ่มกัน
นอกจากนี้ ยังมองว่าการลงทุนในกองทุนรวม ยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และไม่ต้องเสียภาษี ขณะเดียวกันในเรื่องพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากยังจะเป็นตัวหนุนให้มีเงินไหลเข้ามาในกองทุนรวมมากขึ้น เนื่องจากช่วงกลางปีนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าว จะมีการกำหนดวงเงินที่จะคุ้มครองชัดเจน อีกทั้งแคมเปญที่ธนาคารฯ ต่างๆ ออกมาเป็นแคมเปญที่มีกำหนดระยะเวลาแต่กองทุนบางประเภทมีสภาพคล่องที่สูงกว่าโดยไม่กำหนดระยะเวลา และสามารถไถ่ถอนได้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับนักลงทุน
"ในปีนี้บริษัทจะหันมาเน้นในเรื่องของการปรับปรุงการบริการและหาสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในกองทุนใหม่ๆ"นางวิวรรณกล่าว
สำหรับแผนงานในปีนี้ นางวิวรรณกล่าวว่า บริษัทยังตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารการจัดการ (NAV) เติบโตเป็น 3.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 20% จากปี 2550 ที่อยู่ที่ 3.18 แสนล้านบาท โดยบริษัทมีเป้าหมายในการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มยอดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ให้ได้ไม่ต่ำกว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งหมด
“การเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมา เกิดจากตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความแตกต่างในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อปรับความเสี่ยงแล้วผลตอบแทนที่ได้รับยังสูงกว่าการลงทุนในประเทศ ทำให้นักลงทุนมีความสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่วนต่างที่เคยมีก็หายไป จึงคาดว่าการเติบโตของธุรกิจหลังจากจะอยู่ในช่วงปกติประมาณ 15-20%”นางวิวรรณกล่าว
สำหรับแผนการออกกองทุนของบริษัทในปีนี้จะมีการเปิดขายกองทุนรวมทั้งหมด 22 กองทุนและมีมูลค่าโครงการร่วมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงเริ่มต้นแบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 กอง กองทุนต่างประเทศ 8 กอง กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 3 กอง และกองทุนหุ้น 1 กอง ซึ่งในส่วนของกองทุนต่างประเทศที่บริษัทจะออกไปลงทุนนั้นจะเป็นกองที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น กองทุนที่ลงทุนในพลังงานทางเลือกใหม่ กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือกองทุนที่ลงทุนในสินค้าเกษรตรเป็นต้น
ส่วนกองทุนอสัหาริมทรัพย์นั้นบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งสินทรัพย์ที่คาดว่าจะนำเงินไปลงทุนได้แก่ เซอร์วิสอาร์พาร์ทเมนท์ ที่อยู่อาศัย รีสอร์ต และโรงแรม เป็นต้น ส่วนกองทุนหุ้นอีก 1 กองคาดว่าน่าจะลงทุนใน ETF หรือ กองทุนตลาดรอง นอกจากนี้ Energy ETF ทางบริษัทก็มีความสนใจเช่นกัน แต่ขณะนี้ต้องขึ้นอยู่กับตลาดหลักทรัพย์ว่าจะเลือกให้ใครเป็นผู้จัดทำ เพราะทางบริษัทนั้นพร้อมที่จะทำในส่วนนี้ หลังจากที่เพิ่งได้รับจดหมายให้ส่งข้อเสนอไป