หลังจากเห็นหน้าเห็นตานายกรัฐมนตรีและบรรดารัฐมนตรี ทั้ง 36 คนมาเเล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์กันเอาไว้บ้าง แต่ที่พลิกโผก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะหน้าตาของรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพราะเดินไปทางไหนก็มีเเต่เสียงบ่นว่า "หมอกับพยาบาล หรือที่จะเข้ามาดูเศรษฐกิจของประเทศ" แต่หมอเลี้ยบ โชว์วิสัยทัศน์อย่างเสียงดังฟังชัด ว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เหมือนรักษาคนไข้ อย่างไรก็ ต้องให้ทั้งหมอเเละพยาบาลพิสูจน์ผลงานเสียก่อน
ทั้งนี้แล้ว...สิ่งใดเล่า ที่ทำให้ทั้งนายเเพทย์สุรวงศ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มั่นใจในการทำงานในกระทรวงการคลังมากถึงขนาดนี้ น่าจะมาจากมือดีด้านเศรษฐกิจที่มองไม่เห็นมาคอยให้คำปรึษา เรื่องการทำงาน เเละสิ่งที่ลืมไม่ได้คือ อดีตนายกฯที่เตรียมตัวเเพ๊คกระเป๋ากลับบ้านนั้น เป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด หรือเรียกอีกอย่างว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ตัวจริง ใช่..หรือเปล่า?
เรื่องเศรษฐกิจใช่ว่าใครก็เข้ามาบริหารงานได้ วินาทีนี้ ประเทศไทย ต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะเข้ามาเรียนรู้ เพราะไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้นั้นต้องใช้เวลานานเท่าไร ยิ่งถ้าใช้เวลานานก็ย่อมหมายถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจมากขึ้น
จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายกลุ่มบอกไว้ว่า ครม..ขี้เหร่ หรือ ครม.สมัคร 1 จะต้องปรับเปลี่ยนอย่างเเน่นอนภายใน 3-6 เดือน ในกรณีที่บริหารงานไม่ดีประกอบกับภาวะประชาชนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยี้" อย่างไรก็ดี คงต้องให้หมอเเละพยาบาล โชว์ฝีมือการรักษาคนไข้ที่ชื่อว่า เศรษฐกิจไทย ไปก่อน บางครั้งสิ่งที่เราคาดไว้ อาจจะคาดไม่ถึงก็ได้
สาธยายสรรพคุณรัฐบาล "สมัคร1" ที่ไม่ค่อยมีอนาคตมากนักไปเยอะแล้ว มาดูมุมมองของผู้จัดการกองทุนกันบ้างว่า รัฐบาลชุดนี้จะฝากความหวังให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้นานเท่าไหร่
ฟันธงอีก1ปีเห็นภาพรัฐบาลแตกแยก
แหล่งข่าวจากบริษัทจัดการกองทุนรายหนึ่ง ประเมินว่า **รัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่ได้ไม่นาน**เพราะโดยกติกาที่มีในปัจจุบัน มันคล้ายกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่มีการแก้ไขแล้วไม่มีความสมบูรณ์ แล้วก็ต้องกลับไปแก้ไขอีก ซึ่งเป็นภาพที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ที่ได้รัฐบาลมาเพื่อเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ทั้งนี้ ประเมินว่า ด้วยความที่ รัฐบาลชุด "สมัคร 1" ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมที่มาจากหลายพรรคการเมือง ทำให้รัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่บริหารประเทศได้ประมาณ 1 ปี แล้วหลังจากนั้นก็จะเริ่มเห็นความแตกแยก โดยความแตกแยกดังกล่าวจะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันนั่นเอง
อยู่นานแค่ไหนฝีมือรัฐมนตรีเป็นตัววัด
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายต่อไป กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญที่สุด ของรัฐบาลชุดใหม่ที่จำเป็นต้องให้ความสนใจแก้ไขเป็นพิเศษ คือ การเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นความมั่นใจในการลงทุนและความมั่นใจให้แก่นักลงทุนทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ให้กลับมา
สำหรับระยะเวลาการทำงานของคณะรัฐบาลชุดนี้นั้นจะสั้นหรือยาวเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐมนตรีต่างๆที่ออกมา ซึ่งถ้าคณะรัฐมนตรีทุ่มเท และสามารถสร้างผลงานได้ในระดับที่น่าพึงพอใจต่อประชาชน ก็น่าจะสามารถรักษาเก้าอี้ตำแหน่งรัฐมนตรีในการบริหารประเทศได้อย่างยาวนาน แต่ถ้ารายใดทำไม่ได้เกมเก้าอี้ดนตรี ก็อาจจะเกิดขึ้นกับกระทรวงนั้นๆ จนงานบริหารของประเทศอาจสะดุดไปเลย
"ตอนนี้เป็นช่วงในการสร้างผลงาน ทุกคนกำลังให้โอกาส ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลสามารถสร้างผลงานได้เข้าตาประชาชนได้เพียงใด ถ้าผลงานเข้าตาก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตามรัฐบาลชุดนี้มาจากการเลือกตั้ง จึงน่าจะมีความผูกผันกับประชาชนตามที่ได้รับปากเอาไว้ "
ขณะเดียวกัน หลังจากช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอการเติบโตมาระยะหนึ่ง ทำให้ประเมินว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจของไทยโดยรวมน่าจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง จากฟื้นฐานของประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับดี โดยคาดการณ์ว่าปีนี้มีโอกาสที่ GDP ของประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา
ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ผลงาน
แหล่งข่าวจากบลจ.แห่งหนึ่ง กล่าวว่า แนวโน้มของระยะเวลาการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ คงจะคาดเดาได้ลำบาก แต่ตัวแปรสำคัญของการที่จะทำให้อยู่จนครบอายุได้จะขึ้นอยู่กับการทำงาน และผลงานที่ออกมา จะเป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นยุคของรัฐบาล...นายกทักษิณ ประเทศไทยก็เคยมีรัฐบาลผสมมาตลอด โดยบางครั้งการทำงานก็เป็นไปได้ด้วยดี ส่วนจะขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยก และยุบสภาฯ หรือไม่นั้นคงต้องดูการประสานงานภายในก่อนว่าเป็นอย่างไรมากกว่า
ส่วนการดำเนินงานนโยบายที่มีการมองกันว่าจะติดขัด เนื่องจากการเป็นรัฐบาลผสมนั้นเชื่อว่าจะต้องดูการประสานงานเช่นกัน แต่หากมองกลับกันแล้วน่าจะเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่การทำงานของกระทรวงต่างๆ อาจยกระดับขึ้นได้ จากการแข่งขันในการทำงาน เนื่องจากรัฐมนตรีแต่ละคนต่างต้องการสร้างผลงานให้กับตัวเอง และพรรคต้นสังกัด
"อายุของรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้นานเท่าไร ต้องดูที่ผลงานมากกว่าว่าประชาชนจะให้การยอมรับหรือไม่ ส่วนการบริหารประเทศในเรื่องของนโยบายต่างๆ จะต้องดูที่ว่าภายในเป็นอย่างไร ถ้าเทียบกับการสั่งการแบบเบ็ดเสร็จในยุคที่เคยผ่านมา แล้วการที่มีรัฐมนตรีจากหลายพรรคการเมืองน่าจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะทุกคนจะพยายามสร้างผลงานของตนเอง และเพื่อพรรคด้วย ทำให้แต่ละกระทรวงจะมีการบริหารงานที่ดีขึ้นได้ หลังจากที่ต้องฟังคำสั่งจากคนเพียงคนเดียวมานาน"
ขณะที่การดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ แหล่งข่าวกล่าว ควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ถือเป็นเรื่องดี และการใช้จ่ายของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่การใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไปก็จะเกิดผลเสียเช่นกัน และต้องดูว่าการทำภาระผูกผันมากขนาดนี้จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งรัฐบาลควรที่จะกระจายไปปีอื่นๆบ้าง ไม่ใช่ทำแบบกระจุกตัวที่เดียว
ไม่ครบเทอมมาเพื่อภารกิจปลดแอก
หลังจากที่ได้รับฟังความคิดเห็นจากหลายผู้จัดการกองทุนแล้ว คราวนี้มาถึงผู้จัดการกองทุนรายสุดท้ายจากสายแบงก์ ที่แสดงทัศนะว่า... "ครม.นี้อยู่ไม่ครบเทอม ตลอด 4 ปีแน่" เพราะงานประเมินว่าเหล่าท่านๆล้วนมาด้วยภารกิจหลัก นั่นคือปลดล็อก 111 นักการเมืองจากค่ายไทยรักไทยที่โดนแขวน โดนดอง ห้ามยุ่งเกี่ยวการเมืองเท่านั้น พอสามารถกู้ชีพเหล่าฮีโร่ของเขากลับคืนมาได้ ก็จะประกาศยุบสภา เพื่อจัดการเลือกใหม่ แล้วอัญเชิญ 111 นักการเมืองเหล่านี้กลับมาแข่งขัน โปรโมตหาเสียง เพื่อกลับขึ้นสู่บังลังค์เดิมนั่นเอง
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ผู้เชี่ยวชาญของเราบอกกว่า **จับตาให้ดี** งานนี้มีโหม่งชงให้อดีต 111 ศูนย์กลับมาชู๊ตเข้าประตู ในทำนองว่า ระดมผุดโครงการประชานิยมเพื่อเอาใจรากใหญ่แบบสุดๆ จัดตั้งโครงการโน้น เปิดโครงการนี้ แล้วยุบสภา ....แล้วส่งลูกต่อให้ครม.ชุดใหม่ หน้าเก่าจัดการ
"หลักการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนนโยบานการเงินการคลังจะเป็นไปในแบบที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ที่จะเห็นเพิ่มเติมนั่นนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาศัยงบประมาณรัฐบาลแบบเทเข้าไปลงทุนเพื่อเป็นยากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้า โดยตามทฤษฎีแล้วแผนดังกล่าวถือว่าโอเค แต่ส่งที่ต้องจับตากันต่อไปคือการยืนระยะของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากบางทีวิธีนี้ก็ไม่สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับอัตราการเติบโตและการลงทุนของประเทศได้อย่าถาวร" แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้แล้ว...สิ่งใดเล่า ที่ทำให้ทั้งนายเเพทย์สุรวงศ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี มั่นใจในการทำงานในกระทรวงการคลังมากถึงขนาดนี้ น่าจะมาจากมือดีด้านเศรษฐกิจที่มองไม่เห็นมาคอยให้คำปรึษา เรื่องการทำงาน เเละสิ่งที่ลืมไม่ได้คือ อดีตนายกฯที่เตรียมตัวเเพ๊คกระเป๋ากลับบ้านนั้น เป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด หรือเรียกอีกอย่างว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ตัวจริง ใช่..หรือเปล่า?
เรื่องเศรษฐกิจใช่ว่าใครก็เข้ามาบริหารงานได้ วินาทีนี้ ประเทศไทย ต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะเข้ามาเรียนรู้ เพราะไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้นั้นต้องใช้เวลานานเท่าไร ยิ่งถ้าใช้เวลานานก็ย่อมหมายถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจมากขึ้น
จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายกลุ่มบอกไว้ว่า ครม..ขี้เหร่ หรือ ครม.สมัคร 1 จะต้องปรับเปลี่ยนอย่างเเน่นอนภายใน 3-6 เดือน ในกรณีที่บริหารงานไม่ดีประกอบกับภาวะประชาชนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยี้" อย่างไรก็ดี คงต้องให้หมอเเละพยาบาล โชว์ฝีมือการรักษาคนไข้ที่ชื่อว่า เศรษฐกิจไทย ไปก่อน บางครั้งสิ่งที่เราคาดไว้ อาจจะคาดไม่ถึงก็ได้
สาธยายสรรพคุณรัฐบาล "สมัคร1" ที่ไม่ค่อยมีอนาคตมากนักไปเยอะแล้ว มาดูมุมมองของผู้จัดการกองทุนกันบ้างว่า รัฐบาลชุดนี้จะฝากความหวังให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้นานเท่าไหร่
ฟันธงอีก1ปีเห็นภาพรัฐบาลแตกแยก
แหล่งข่าวจากบริษัทจัดการกองทุนรายหนึ่ง ประเมินว่า **รัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่ได้ไม่นาน**เพราะโดยกติกาที่มีในปัจจุบัน มันคล้ายกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่มีการแก้ไขแล้วไม่มีความสมบูรณ์ แล้วก็ต้องกลับไปแก้ไขอีก ซึ่งเป็นภาพที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ที่ได้รัฐบาลมาเพื่อเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ทั้งนี้ ประเมินว่า ด้วยความที่ รัฐบาลชุด "สมัคร 1" ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมที่มาจากหลายพรรคการเมือง ทำให้รัฐบาลชุดนี้น่าจะอยู่บริหารประเทศได้ประมาณ 1 ปี แล้วหลังจากนั้นก็จะเริ่มเห็นความแตกแยก โดยความแตกแยกดังกล่าวจะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันนั่นเอง
อยู่นานแค่ไหนฝีมือรัฐมนตรีเป็นตัววัด
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายต่อไป กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนที่สำคัญที่สุด ของรัฐบาลชุดใหม่ที่จำเป็นต้องให้ความสนใจแก้ไขเป็นพิเศษ คือ การเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นความมั่นใจในการลงทุนและความมั่นใจให้แก่นักลงทุนทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ให้กลับมา
สำหรับระยะเวลาการทำงานของคณะรัฐบาลชุดนี้นั้นจะสั้นหรือยาวเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐมนตรีต่างๆที่ออกมา ซึ่งถ้าคณะรัฐมนตรีทุ่มเท และสามารถสร้างผลงานได้ในระดับที่น่าพึงพอใจต่อประชาชน ก็น่าจะสามารถรักษาเก้าอี้ตำแหน่งรัฐมนตรีในการบริหารประเทศได้อย่างยาวนาน แต่ถ้ารายใดทำไม่ได้เกมเก้าอี้ดนตรี ก็อาจจะเกิดขึ้นกับกระทรวงนั้นๆ จนงานบริหารของประเทศอาจสะดุดไปเลย
"ตอนนี้เป็นช่วงในการสร้างผลงาน ทุกคนกำลังให้โอกาส ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลสามารถสร้างผลงานได้เข้าตาประชาชนได้เพียงใด ถ้าผลงานเข้าตาก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตามรัฐบาลชุดนี้มาจากการเลือกตั้ง จึงน่าจะมีความผูกผันกับประชาชนตามที่ได้รับปากเอาไว้ "
ขณะเดียวกัน หลังจากช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอการเติบโตมาระยะหนึ่ง ทำให้ประเมินว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจของไทยโดยรวมน่าจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง จากฟื้นฐานของประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับดี โดยคาดการณ์ว่าปีนี้มีโอกาสที่ GDP ของประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา
ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ผลงาน
แหล่งข่าวจากบลจ.แห่งหนึ่ง กล่าวว่า แนวโน้มของระยะเวลาการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ คงจะคาดเดาได้ลำบาก แต่ตัวแปรสำคัญของการที่จะทำให้อยู่จนครบอายุได้จะขึ้นอยู่กับการทำงาน และผลงานที่ออกมา จะเป็นที่ยอมรับของประชาชนหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นยุคของรัฐบาล...นายกทักษิณ ประเทศไทยก็เคยมีรัฐบาลผสมมาตลอด โดยบางครั้งการทำงานก็เป็นไปได้ด้วยดี ส่วนจะขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยก และยุบสภาฯ หรือไม่นั้นคงต้องดูการประสานงานภายในก่อนว่าเป็นอย่างไรมากกว่า
ส่วนการดำเนินงานนโยบายที่มีการมองกันว่าจะติดขัด เนื่องจากการเป็นรัฐบาลผสมนั้นเชื่อว่าจะต้องดูการประสานงานเช่นกัน แต่หากมองกลับกันแล้วน่าจะเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่การทำงานของกระทรวงต่างๆ อาจยกระดับขึ้นได้ จากการแข่งขันในการทำงาน เนื่องจากรัฐมนตรีแต่ละคนต่างต้องการสร้างผลงานให้กับตัวเอง และพรรคต้นสังกัด
"อายุของรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้นานเท่าไร ต้องดูที่ผลงานมากกว่าว่าประชาชนจะให้การยอมรับหรือไม่ ส่วนการบริหารประเทศในเรื่องของนโยบายต่างๆ จะต้องดูที่ว่าภายในเป็นอย่างไร ถ้าเทียบกับการสั่งการแบบเบ็ดเสร็จในยุคที่เคยผ่านมา แล้วการที่มีรัฐมนตรีจากหลายพรรคการเมืองน่าจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะทุกคนจะพยายามสร้างผลงานของตนเอง และเพื่อพรรคด้วย ทำให้แต่ละกระทรวงจะมีการบริหารงานที่ดีขึ้นได้ หลังจากที่ต้องฟังคำสั่งจากคนเพียงคนเดียวมานาน"
ขณะที่การดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ แหล่งข่าวกล่าว ควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ถือเป็นเรื่องดี และการใช้จ่ายของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่การใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไปก็จะเกิดผลเสียเช่นกัน และต้องดูว่าการทำภาระผูกผันมากขนาดนี้จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งรัฐบาลควรที่จะกระจายไปปีอื่นๆบ้าง ไม่ใช่ทำแบบกระจุกตัวที่เดียว
ไม่ครบเทอมมาเพื่อภารกิจปลดแอก
หลังจากที่ได้รับฟังความคิดเห็นจากหลายผู้จัดการกองทุนแล้ว คราวนี้มาถึงผู้จัดการกองทุนรายสุดท้ายจากสายแบงก์ ที่แสดงทัศนะว่า... "ครม.นี้อยู่ไม่ครบเทอม ตลอด 4 ปีแน่" เพราะงานประเมินว่าเหล่าท่านๆล้วนมาด้วยภารกิจหลัก นั่นคือปลดล็อก 111 นักการเมืองจากค่ายไทยรักไทยที่โดนแขวน โดนดอง ห้ามยุ่งเกี่ยวการเมืองเท่านั้น พอสามารถกู้ชีพเหล่าฮีโร่ของเขากลับคืนมาได้ ก็จะประกาศยุบสภา เพื่อจัดการเลือกใหม่ แล้วอัญเชิญ 111 นักการเมืองเหล่านี้กลับมาแข่งขัน โปรโมตหาเสียง เพื่อกลับขึ้นสู่บังลังค์เดิมนั่นเอง
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ผู้เชี่ยวชาญของเราบอกกว่า **จับตาให้ดี** งานนี้มีโหม่งชงให้อดีต 111 ศูนย์กลับมาชู๊ตเข้าประตู ในทำนองว่า ระดมผุดโครงการประชานิยมเพื่อเอาใจรากใหญ่แบบสุดๆ จัดตั้งโครงการโน้น เปิดโครงการนี้ แล้วยุบสภา ....แล้วส่งลูกต่อให้ครม.ชุดใหม่ หน้าเก่าจัดการ
"หลักการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนนโยบานการเงินการคลังจะเป็นไปในแบบที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ที่จะเห็นเพิ่มเติมนั่นนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาศัยงบประมาณรัฐบาลแบบเทเข้าไปลงทุนเพื่อเป็นยากระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้า โดยตามทฤษฎีแล้วแผนดังกล่าวถือว่าโอเค แต่ส่งที่ต้องจับตากันต่อไปคือการยืนระยะของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากบางทีวิธีนี้ก็ไม่สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับอัตราการเติบโตและการลงทุนของประเทศได้อย่าถาวร" แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย