บลจ.จับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคปฏิบัติหวั่นทำไม่ได้จริงดังที่ประกาศหาเสียง จนเกิดความเสี่ยงต่อการลงทุน ชี้สถานการณ์ในประเทศเป็นปัจจัยที่น่ากังวลกว่าภายนอก พร้อมคาดพิษซับไพรม์ยังพ่นพิษต่อ แถมโอดราคาน้ำมันปีเก่าแพงขึ้นเกินจริง ระบุปีก่อนตลาดหุ้นไทยยังโชคดีหลัง “ปตท.”ไม่โดนถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทจัดการกองทุนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ภายหลังที่มีการเลือกตั้งแล้ว สิ่งที่ทุกบริษัทจัดการกองทุนจะทำคือการรอดูนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ เพราะเรื่องดังกล่าวจะทำได้ยากกว่าภาคทฤษฎีหรือภาคนโยบาย ขณะเดียวกันมองว่าในปีนี้ ตัวเลขการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%
ทั้งนี้ในปี 2551 การบริโภคภาคประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐบาลโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ และการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศ โดยการขับเคลื่อนจากปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5% ซึ่งจะมากกว่าปีที่ผ่านมา
“นโยบายของรัฐบาลใหม่ ถ้าสามารถทำได้จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำไม่ได้ก็มีความเสี่ยง ขณะเดียวกันปัญหาซับไพรม์จะทยอยออกมาให้ผู้ลงทุนรับทราบอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตัวเลขที่ออกมาจะมีมากกว่าปี 2550 แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศ ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากกว่า”
ขณะที่แหล่งข่าวเชื่อว่า เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาในปีนี้จะไม่ผันผวนมากนัก แม้ปัญหาซับไพรม์ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ เพราะปีนี้สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า พรรคการเมืองของสหรัฐอเมริการจะมีการนำเสนอนโยบายการแก้ไขปัญญาดังกล่าวออกมา เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันนั้น ยอมรับว่าในปีที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ทั้งที่จริงๆแล้ว ราคาน้ำมันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 75-80 เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีโชคอยู่บ้างในกรณีที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ไม่ถูกถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพราะการลงทุนของตลาดหุ้นในประเทศ นักลงทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานมากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวไม่มาก
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลท.ปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นกว่า ปีที่ผ่านมาประมาณ 15-17% และดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2551 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 975 จุด แต่อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าว ยังต้องคอยติดตามดูในเรื่องของนโยบายภาครัฐว่าจะเป็นอย่างไร โครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ด้านระบบขนส่ง หรือโครงการรถไฟฟ้า จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้กี่สาย รวมถึงปัจจัยอื่นๆเพิ่มเติม
“เราต้องรอดูนโยบายภาครัฐ โครงการขนาดใหญ่ต่างๆจะเดินหน้าหรือไม่ เศรษฐกิจรากหญ้าจะใช้อะไรมากระตุ้น ภาวะเงินเฟ้อจะรุนแรงมากไหม รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดหรือคงอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนของกองทุนรวมในตราสารหนี้ปีนี้ ประเมินว่าในครึ่งปีแรกจนถึงเดือนมิถุนายนการลงทุนในตราสารหนี้น่าจะให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 7% ซึ่งภาครัฐจะทำการออกพันธบัตรมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการประชาชนนิยม ทำให้อุปทานตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสแรกขยายตัว
นอกจากนี้ การลงทุนต่างประเทศอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตั๋ว ECP (Euro Commercial Paper) หรือ ตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในยุโรป ซึ่งจุดดึงดูดของกองทุนประเภทนี้ คือ ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้และเงินฝากในประเทศ ด้วยการลงทุนระยะสั้นๆ เพียง 3 เดือน 6เดือน ถึงแม้กองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ได้มีการป้องกันการเสี่ยงเอาไว้แล้วทั้ง 100% ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศค่อนข้างมาก แต่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศยุโรปปีนี้จะปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนมีผลกำไรจากส่วนต่างประมาณ 3.4 –3.5%
ขณะที่ การลงทุนในกลุ่มประเทศบริค (BRIC) หรือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน ยังได้รับความสนใจต่อเนื่องมาจากปี 2550 จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี มีอัตราการเติบโตสูงแม้มีความเสี่ยงให้คอยระวังก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ในปี 255 ตลาดทุนในประเทศโดยเฉพาะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนเอฟไอเอฟ จะได้รับความสนใจเพิ่มเติม หลังที่ภาครัฐผ่อนปรนมาตรการกันสำรอง 30% และคาดว่าจะได้รับการยกเลิกในรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นในเร็วๆนี้
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทจัดการกองทุนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ภายหลังที่มีการเลือกตั้งแล้ว สิ่งที่ทุกบริษัทจัดการกองทุนจะทำคือการรอดูนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ เพราะเรื่องดังกล่าวจะทำได้ยากกว่าภาคทฤษฎีหรือภาคนโยบาย ขณะเดียวกันมองว่าในปีนี้ ตัวเลขการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10%
ทั้งนี้ในปี 2551 การบริโภคภาคประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐบาลโดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ และการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและนอกประเทศ โดยการขับเคลื่อนจากปัจจัยเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5% ซึ่งจะมากกว่าปีที่ผ่านมา
“นโยบายของรัฐบาลใหม่ ถ้าสามารถทำได้จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำไม่ได้ก็มีความเสี่ยง ขณะเดียวกันปัญหาซับไพรม์จะทยอยออกมาให้ผู้ลงทุนรับทราบอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตัวเลขที่ออกมาจะมีมากกว่าปี 2550 แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยในประเทศ ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากกว่า”
ขณะที่แหล่งข่าวเชื่อว่า เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาในปีนี้จะไม่ผันผวนมากนัก แม้ปัญหาซับไพรม์ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ เพราะปีนี้สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า พรรคการเมืองของสหรัฐอเมริการจะมีการนำเสนอนโยบายการแก้ไขปัญญาดังกล่าวออกมา เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันนั้น ยอมรับว่าในปีที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก ทั้งที่จริงๆแล้ว ราคาน้ำมันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 75-80 เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีโชคอยู่บ้างในกรณีที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ไม่ถูกถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพราะการลงทุนของตลาดหุ้นในประเทศ นักลงทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานมากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวไม่มาก
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลท.ปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นกว่า ปีที่ผ่านมาประมาณ 15-17% และดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2551 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 975 จุด แต่อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าว ยังต้องคอยติดตามดูในเรื่องของนโยบายภาครัฐว่าจะเป็นอย่างไร โครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ด้านระบบขนส่ง หรือโครงการรถไฟฟ้า จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้กี่สาย รวมถึงปัจจัยอื่นๆเพิ่มเติม
“เราต้องรอดูนโยบายภาครัฐ โครงการขนาดใหญ่ต่างๆจะเดินหน้าหรือไม่ เศรษฐกิจรากหญ้าจะใช้อะไรมากระตุ้น ภาวะเงินเฟ้อจะรุนแรงมากไหม รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดหรือคงอัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่”
สำหรับแนวโน้มการลงทุนของกองทุนรวมในตราสารหนี้ปีนี้ ประเมินว่าในครึ่งปีแรกจนถึงเดือนมิถุนายนการลงทุนในตราสารหนี้น่าจะให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 7% ซึ่งภาครัฐจะทำการออกพันธบัตรมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการประชาชนนิยม ทำให้อุปทานตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสแรกขยายตัว
นอกจากนี้ การลงทุนต่างประเทศอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตั๋ว ECP (Euro Commercial Paper) หรือ ตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในยุโรป ซึ่งจุดดึงดูดของกองทุนประเภทนี้ คือ ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้และเงินฝากในประเทศ ด้วยการลงทุนระยะสั้นๆ เพียง 3 เดือน 6เดือน ถึงแม้กองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ได้มีการป้องกันการเสี่ยงเอาไว้แล้วทั้ง 100% ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศค่อนข้างมาก แต่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศยุโรปปีนี้จะปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนมีผลกำไรจากส่วนต่างประมาณ 3.4 –3.5%
ขณะที่ การลงทุนในกลุ่มประเทศบริค (BRIC) หรือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน ยังได้รับความสนใจต่อเนื่องมาจากปี 2550 จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี มีอัตราการเติบโตสูงแม้มีความเสี่ยงให้คอยระวังก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ในปี 255 ตลาดทุนในประเทศโดยเฉพาะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนเอฟไอเอฟ จะได้รับความสนใจเพิ่มเติม หลังที่ภาครัฐผ่อนปรนมาตรการกันสำรอง 30% และคาดว่าจะได้รับการยกเลิกในรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นในเร็วๆนี้