บลจ.กรุงไทยเข็น 2 กองทุนตราสารหนี้ "กรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 46 - กรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน 7 " ประเดิมปีหนู กระจายลงทุนทั้งในและนอกประเทศ เปิดขายพร้อมกัน 7-14 ม.ค.นี้ ยอมรับปีนี้ผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้มีสิทธิ์ต่ำกว่าปีก่อนหลังแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพุ่งไม่หยุด
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 กองทุน ประกอบไปด้วย กองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 46 (KTCP46) และกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน 7 (KTFIF3M7) โดยจะเปิดขายในระหว่างวันที่ 7-14 มกราคม 2551
โดยกองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 46 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เป็นกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถคุ้มครองเงินต้นให้กับนักลงทุน ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารดังกล่าวไม่น้อยกว่า 98% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเหมาะสมกับลูกค้าที่ต้องการคุ้มครองเงินต้นจากการลงทุน โดยผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำและต้องการโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
ขณะเดียวกันบริษัทยังจะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน 7 ซึ่งมีอายุโครงการ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของสถาบันการเงินต่างประเทศมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ของผู้ออกที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ AA- ขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกันและเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงระยะเวลาที่ลงทุน กองทุนจะมีการทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าสำหรับเงินลงทุนในต่างประเทศทั้งจำนวน ทำให้กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้น ต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน
"ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดจำหน่ายกองทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ และกองทุนในประเทศ โดยหลังจากนี้จะมีการออกกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และผลตอบแทนที่ได้รับไม่เสียภาษี จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุน" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี โดยเฉพาะในสัปดาห์สุดท้ายของปี อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปปรับลดลง 9-17 bp และทำให้ Government Bond Clean Price Index ปรับเพิ่มขึ้นถึง 0.79 จุด หรือ 0.81%
อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าการลงทุนในตราสารหนี้ในปี 2551 มีแนวโน้มที่จะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้การลอยตัวก๊าซหุงต้มและราคาน้ำมันในตลาดโลกก็กดดันอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี จึงมีการประเมินว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ดังนั้นการลงทุนในช่วงปีนี้แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อรอดูแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อก่อน
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้เพิ่มเติมอีกจำนวน 2 กองทุน ประกอบไปด้วย กองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 46 (KTCP46) และกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน 7 (KTFIF3M7) โดยจะเปิดขายในระหว่างวันที่ 7-14 มกราคม 2551
โดยกองทุนรวมกรุงไทยตราสารภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 46 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เป็นกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถคุ้มครองเงินต้นให้กับนักลงทุน ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารดังกล่าวไม่น้อยกว่า 98% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเหมาะสมกับลูกค้าที่ต้องการคุ้มครองเงินต้นจากการลงทุน โดยผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำและต้องการโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
ขณะเดียวกันบริษัทยังจะเปิดจำหน่ายหน่วยลงทุนกองทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน 7 ซึ่งมีอายุโครงการ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของสถาบันการเงินต่างประเทศมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ของผู้ออกที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ AA- ขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกันและเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงระยะเวลาที่ลงทุน กองทุนจะมีการทำสัญญาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าสำหรับเงินลงทุนในต่างประเทศทั้งจำนวน ทำให้กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้น ต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน
"ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดจำหน่ายกองทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ และกองทุนในประเทศ โดยหลังจากนี้จะมีการออกกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และผลตอบแทนที่ได้รับไม่เสียภาษี จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุน" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี โดยเฉพาะในสัปดาห์สุดท้ายของปี อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปปรับลดลง 9-17 bp และทำให้ Government Bond Clean Price Index ปรับเพิ่มขึ้นถึง 0.79 จุด หรือ 0.81%
อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าการลงทุนในตราสารหนี้ในปี 2551 มีแนวโน้มที่จะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้การลอยตัวก๊าซหุงต้มและราคาน้ำมันในตลาดโลกก็กดดันอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี จึงมีการประเมินว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ดังนั้นการลงทุนในช่วงปีนี้แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อรอดูแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อก่อน